อี้เจียงมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าไม่มีใครก็รีบเอาจดหมายของกงซีอู๋ออกมาลองอ่าน
ถึงจะรู้ตัวหนังสือไม่น้อยแล้ว แต่รูปประโยคที่ยากแก่การเข้าใจก็ยังทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ดี สุดท้ายนางอ่านรู้เรื่องแค่ไม่กี่คำ หนึ่งในนั้นคือ ‘ฉางอันจวิน’
คนที่โยนนางเข้าคุกกลับยังเขียนจดหมายติดต่อกับนาง แค่นี้ก็ไม่ชอบมาพากลมากแล้ว นี่ยังเอ่ยถึงผู้อุปถัมภ์ของนางอีก พออี้เจียงนึกถึงความเป็นไปได้ก็ตกใจจนเหงื่อออกเต็มหลัง
ตันคุยบอกว่าจดหมายฉบับนี้เขาไปเอามาจากบ้านพักของสหายคนหนึ่งในคืนแรกที่มาพักในจวนฉางอันจวิน กงซีอู๋ฝากจดหมายให้คนอื่นช่วยส่งต่อ น่าจะยังไม่รู้ว่านางออกจากคุกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเอ่ยถึงฉางอันจวินในจดหมาย ก็หมายความว่าเขารู้ดีเรื่องที่นางมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด
จนถึงตอนนี้อี้เจียงก็ยังไม่รู้ว่ากงซีอู๋อยู่ที่ใด ทำอะไร แต่เขากลับรู้เรื่องของนางโดยละเอียด
คนคนนี้น่ากลัวอยู่เหมือนกัน…
ไม่รู้ว่าตันคุยทายาล้ำค่าอะไรให้เผยยวนกันแน่ เขาถึงได้กลับมาอีกทีตอนฟ้ามืด เรือนของอี้เจียงไม่ได้จุดตะเกียง เขาหยุดมองตรงประตูสักพักถึงค่อยเดินเข้ามา
“แม่นาง?”
“ข้าอยู่นี่”
ร่างหนึ่งขยับอยู่ด้านหลังโต๊ะ ตันคุยรีบหาตะเกียงมาจุด แสงไฟสว่างวาบขึ้นมาส่องสะท้อนใบหน้าคมเข้มร่างกายบึกบึนของเขา
เขาจะไม่พูดเด็ดขาดว่าเมื่อครู่ตนไปข่มขู่เผยยวนมา!
“ตันคุย” อี้เจียงไม่ได้สนใจสีหน้าของตันคุยแม้แต่นิดเดียว นางนั่งตัวตรง มองเขาอย่างเคร่งเครียด “เจ้าว่า…ถ้าข้าอยากประสานรอยร้าว กงซีอู๋จะยอมรับไมตรีหรือไม่”
ชายหนุ่มชะงัก จากนั้นก็หัวเราะลั่น “แม่นางกับผู้ทรงภูมิกงซีเปรียบเสมือนเหลียนพัวกับลิ่นเซียงหรู แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่า”
นางถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก “เจ้าหมายความว่าถ้ามีโอกาสให้ไถ่โทษแบบ ‘แบกกิ่งต้นจิงขอขมา’ ความสัมพันธ์ของพวกเราก็จะกลับไปดีเช่นเดิมได้ใช่หรือไม่”
อีกฝ่ายทวนคำด้วยความฉงน “แบกกิ่งต้นจิงขอขมา? อะไรคือแบกกิ่งต้นจิงขอขมากันหรือขอรับ”
“เหลียนพัวแบกกิ่งต้นจิงขอขมาอย่างไรเล่า!”
ตันคุยส่ายหน้า “คุยไม่เคยได้ยินเรื่องเหลียนพัวแบกกิ่งต้นจิงขอขมามาก่อนเลย ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างลิ่นเซียงหรูกับเหลียนพัวเลวร้ายมาก ไม่เคยดีต่อกันสักครั้ง แม้ความสัมพันธ์ของแม่นางกับผู้ทรงภูมิกงซีจะไม่เลวร้ายเท่าพวกเขาสองคน แต่ศิษย์สำนักกุ่ยกู่ตั้งตัวเป็นอริกันเองเสมอ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“หา?” อี้เจียงตกตะลึงกับประเด็นสำคัญที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญนี้
แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้จักตำนานเรื่องเหลียนพัวแบกกิ่งต้นจิงขอขมา แต่ตันคุยกลับบอกว่าไม่เคยได้ยิน นี่จะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว อี้เจียงตกใจจนลืมจดหมายของกงซีอู๋ไปโดยสิ้นเชิง
เรื่องนี้ทำให้อี้เจียงนอนหลับไม่สนิทไปตลอดทั้งคืน และตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยขอบตาดำคล้ำ เรียกสาวใช้มาลองถามอยู่หลายคน พวกนางก็พากันส่ายหน้ากันหมด
ยังไม่ถึงเวลาหรือไรนะ อี้เจียงครุ่นคิด ถ้าอย่างไรหาโอกาสไปถามเผยยวนดีกว่า
ตอนบ่ายลมพัดผ่านสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้ดังแซกซ่า อี้เจียงเดินออกไปถึงหน้าประตู เห็นตันคุยกำลังฝึกกระบี่อยู่ก็ยืนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น น่าเสียดายที่พออีกฝ่ายเห็นนางเข้าก็หยุดฝึก
“เหตุใดแม่นางถึงไม่พักผ่อนสักหน่อยเล่า”
อี้เจียงไม่ชอบนอนกลางวัน จึงส่ายหน้า “ข้าจะไปหาเผยยวน”
ตันคุยตวัดกระบี่พลางถือแนบไปข้างหลัง แล้วก้าวยาวเข้ามาหา “แม่นางอย่าไปนะ!”
นางชะงัก “เพราะเหตุใดเล่า”
“เอ่อ…ข้าหมายความว่าประเดี๋ยวข้าไปตามเขามาที่นี่ให้ แม่นางไม่ต้องไปเองหรอก”
อี้เจียงพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน รบกวนด้วย”
ตันคุยก้าวเร็วๆ ออกไปโดยไม่พูดไม่จา
อี้เจียงกลับเข้าไปนั่งรอในเรือนพลางเตรียมแต่งคำพูดเอาไว้ในใจ อีกประเดี๋ยวจะได้ถามหาคำตอบที่ตนเองต้องการได้โดยไม่มีพิรุธ
ตันคุยกลับมาในเวลาไม่นาน แล้วยืนส่ายหน้าให้อี้เจียงอยู่ตรงหน้าประตู “เผยยวนกำลังยุ่งขอรับ ไม่มีเวลามาหาแม่นาง ข้าว่าไว้คราวหน้าดีกว่า”
อี้เจียงนึกในใจว่า…มิน่าเล่า วันนี้ถึงได้ไม่โผล่มาเลย ปกติเปิดประตูออกไปก็เห็นแล้ว ออกจะขยันมากกว่าใคร
พอถึงเวลาอาหารเย็น อี้เจียงก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จึงจะไปหาเผยยวน แต่เพิ่งเดินออกจากเรือนก็ถูกตันคุยดักไว้อีกครั้ง
“แม่นางนั่งรอเถอะ ข้าจะไปเชิญเผยยวนมาให้”
อี้เจียงเลยต้องนั่งรอ ปรากฏว่าตันคุยกลับมารายงานเช่นเดิม “เผยยวนยุ่งมากเลยขอรับ แม่นางคงต้องรอต่อไป”
นางอ่อนอกอ่อนใจ เจ้านั่นกำลังยุ่งอะไรของเขากันนะ