กล่อมเกลาปราชญ์หญิง
ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 2
หลังจากนั้นเผยยวนก็ไม่โผล่มาให้เห็นหลายวันติดกัน จนอี้เจียงค่อยๆ ลืมปัญหาข้อนี้ไปจากสมอง แต่ละวันนางจะตั้งใจฝึกคัดตัวหนังสือที่อ่านออกแล้ว ลายมือจึงไม่น่าเกลียดเหมือนเดิมอีก
อากาศแปรปรวนง่าย คืนนั้นลมแรง ฝนตกลงมาห่าใหญ่
อี้เจียงนอนหลับไม่สนิท ไม่รู้ว่าเริ่มคล้อยหลับตั้งแต่เมื่อไร ทันใดนั้นเสียงตบประตูดังลั่นก็ทำให้นางสะดุ้งตื่นแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง ได้ยินตันคุยตะโกนเรียกอยู่ข้างนอก “แม่นาง! ฉางอันจวินเรียกให้ไปพบด่วนขอรับ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวจ้งเจียวเรียกอี้เจียงไปพบ นางตบแก้มไล่ความง่วงงุน ปั้นหน้าแสดงท่าทีสูงส่งเยือกเย็นเตรียมตัวรับศึก ก่อนจะเปิดประตูเดินตามตันคุยออกไป
ข้างนอกมืดสนิท ตันคุยยืนอยู่ตรงหน้าประตู กางร่มบังโคมไฟที่ถืออยู่ในมือ หัวไหล่เขาเปียกฝนไปกว่าครึ่ง
อี้เจียงเดินกระย่องกระแย่งตามตันคุยไปยังเรือนด้านหน้า ชุดยาวกรุยกรายนี่ช่างลำบากชีวิตจริงๆ ต้องเดินไปพลางต่อสู้กับชายเสื้อคลุมไปพลางตลอดทาง กว่าจะถึงที่หมายก็เปียกซ่กตั้งแต่รองเท้าขึ้นมาจนถึงหน้าแข้ง
ห้องโถงจุดไฟสว่างไสว ตั้งโต๊ะเรียงกันเป็นสองแถว มีจานอาหารที่กินเหลือวางอยู่บนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเลิกงานเลี้ยงไปหมาดๆ
จ้าวจ้งเจียวนั่งเอนร่างอยู่หลังโต๊ะด้านบน ปล่อยผมยาวสยาย ท่อนบนห่มเสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์ ในมือถือตะเกียบข้างหนึ่งหมุนไปเรื่อยๆ อย่างใจลอย คงสำรวมขึ้นบ้างจากที่ถูกพระพันปีสั่งสอนมาเมื่อครั้งก่อน จึงไม่ได้สวมชุดสีแดงสด แต่มองดูดีๆ ก็ยังเป็นชุดสตรีเช่นเดิม
เพิ่งจะอายุเท่านี้ก็เอาแต่สนุกอยู่ในงานเลี้ยงทุกคืน สมแล้วที่เป็นเชื้อพระวงศ์ อี้เจียงวิจารณ์อยู่ในใจ ขณะคำนับเขาอย่างเคร่งขรึม
จ้าวจ้งเจียวเหลือบตามอง ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถอนหายใจเฮือก
อี้เจียงเพิ่งเคยเห็นจ้าวจ้งเจียวเป็นเช่นนี้ครั้งแรก จึงถามด้วยความสงสัย “ดูเหมือนนายท่านจะมีเรื่องกลุ้มใจ?”
ตะเกียบในมือจ้าวจ้งเจียวถูกโยนใส่กาบนโต๊ะเสียงดังแกร๊ง “แคว้นฉินบุกตีแคว้นจ้าว ผู้ทรงภูมิมีความเห็นเช่นไร”
อี้เจียงแทบรักษาท่าทางอันสูงส่งเยือกเย็นเอาไว้ไม่อยู่ พอเขาอ้าปากพูดก็ถามคำถามที่ยากเพียงนี้ จะกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว
จ้าวจ้งเจียวในอาภรณ์สตรีนั่งหน้าอมทุกข์หลุบตาลงต่ำ อี้เจียงเห็นแล้วยังนึกเวทนา “แคว้นฉินไม่เพียงจะโจมตีเมืองสามเมืองของแคว้นจ้าว ยังคุมตัวผิงหยวนจวินอาของข้าเอาไว้ด้วย ตอนนี้ในราชสำนักกำลังหาวิธีรับมืออยู่ เสด็จพี่ห่วงแต่จะรักษาสันติอย่างเดียว ไม่มีความคิดอื่น ข้าควรต้องช่วยเสด็จแม่แบ่งเบาปัญหาถึงจะถูก”
อี้เจียงนึกในใจว่า…มิน่าเล่า จนป่านนี้ผิงหยวนจวินก็ยังไม่ติดต่อมาไถ่ถามข้าเลย ที่แท้ก็ถูกเชิญไปดื่มชาที่แคว้นฉินนี่เอง
จ้าวจ้งเจียวรออยู่นานแต่ไม่เห็นอีกฝ่ายตอบก็หงุดหงิดอยู่ในใจ ดวงตาคมกริบราวกับใบมีดจึงเหลือบมองนางอีกครั้ง “ผู้ทรงภูมิไม่มีวิธีรับมือดีๆ บ้างหรือ”
อี้เจียงลอบกลืนน้ำลายลงคอ แล้วบังคับตนเองให้เยือกเย็นเข้าไว้ “สองแคว้นเปิดศึกกันเป็นเรื่องใหญ่ หวนเจ๋อไม่กล้าออกความเห็นสุ่มสี่สุ่มห้า นายท่านโปรดอภัยด้วย”
สีหน้าของจ้าวจ้งเจียวผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะแค่นเสียงหึขึ้นจมูก “ถึงอย่างไรผิงหยวนจวินก็เป็นเจ้านายเก่าของผู้ทรงภูมิ ผู้ทรงภูมิจะนิ่งดูดายไม่ช่วยเขาไม่ได้นะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามแผ่นหลังของอี้เจียง
ตอนที่เดินออกจากห้องโถงใหญ่ ฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย แต่ฝนยังตกกระหน่ำเหมือนเดิม ดอกไม้ใบหญ้าล้วนคอตก ลู่กลีบลู่ใบอย่างยอมสยบ น้ำฝนกระฉอกเป็นแอ่งเล็กๆ ไปทั่วทางเดินโรยกรวด
อี้เจียงกางร่มเดินตามตันคุยกลับเรือนอย่างหงอยเหงาซึมกะทือมาตลอดทาง พอถึงส่วนหลังของจวนก็ได้ยินเสียงเผยยวนอยู่ใกล้ๆ นางถึงค่อยเงยหน้าขึ้น
ตันคุยที่เดินนำหันขวับ รีบกางแขนกันไม่ให้อี้เจียงเดินต่อ “แม่นางระวังด้วย พวกเราเดินอ้อมไปด้านข้างดีกว่า”
ท่าทางเขาเหมือนประกาศว่า ‘ข้างหน้าเป็นเขตอันตราย ใครไม่ใช่ทหารรีบหนีไปให้ไกล’ อี้เจียงเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ “อยู่ดีๆ จะเดินอ้อมด้วยเหตุใดกัน ข้าได้ยินเสียงเผยยวนด้วย กำลังอยากเจอตัวเขาอยู่พอดี”
มือกระบี่หนุ่มเข้ามาขวางนางไว้อีกครั้ง “ทางอ้อมใกล้กว่าขอรับ”
ระหว่างที่พูดกันอยู่นั้น เผยยวนก็เดินมาพอดี เห็นอี้เจียงจึงรีบปรี่เข้ามาหา แม้แต่ร่มยังโยนทิ้งอย่างไม่สนใจ “ผู้ทรงภูมิ ในที่สุดก็ได้เจอท่านเสียที!”
นางชูร่มให้สูงขึ้นเพื่อกันฝนให้เขาด้วย “ข้าควรเป็นคนพูดประโยคนั้นมากกว่า ช่วงนี้เจ้าเอาแต่ยุ่งทำอะไรอยู่”
“ยวนไม่ยุ่งเลยสักนิด แต่จนใจที่…” เขาตวัดตามองตันคุยที่ยืนอยู่อีกด้าน พูดอย่างไม่พอใจ “แต่จนใจที่ท่านตันคุยคอยมาขวาง ไม่ให้ยวนพบผู้ทรงภูมิ”
อี้เจียงเหลือบมองมือกระบี่ “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ขอรับ!” เผยยวนยืดอก จ้องหน้าตันคุยตรงๆ “ความปรารถนาของยวนมีแค่ได้พูดคุยกับผู้ทรงภูมิเรื่องสำคัญของแผ่นดินเท่านั้น เหตุใดท่านตันคุยต้องคอยขัดขวางตลอดด้วย”
ชายหนุ่มอีกคนแค่นจมูกเสียงดังหึ “พูดคุยน่ะเมื่อไรก็พูดคุยได้ ไม่เห็นต้องคอยตามติดแม่นางทั้งวันสักนิด”
เผยยวนกระทืบเท้าด้วยความโมโห “นั่นเป็นการถกกันเรื่องวิชาความรู้ที่สาบสูญไปแล้วต่างหาก!”
น้ำโคลนบนพื้นกระเซ็นออกมาจากใต้เท้าเผยยวน อี้เจียงรีบห้าม “เอาล่ะๆ ข้าว่าตันคุยคงเข้าใจผิดมากกว่า ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดคุยกับข้า…” นางหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไป แล้วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงดึงแขนเสื้อเผยยวน “ถ้าจะพูดคุยก็ทำกันตอนนี้เลยดีกว่า”
“จริงหรือ!” เผยยวนก้มลงมองแขนเสื้อที่ถูกอี้เจียงดึงไว้ ท่าทางตื่นเต้นจนแทบควบคุมตนเองไม่อยู่ “ดีขอรับๆๆ!”
ตันคุยได้แต่ยืนหางตากระตุกริกๆ อยู่คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจ รู้สึกหดหู่สิ้นหวังอย่างยากจะบรรยาย
อี้เจียงพาเผยยวนไปที่เรือน ทั้งยังเชิญเขานั่งทันทีโดยไม่สนใจว่าควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่เผยยวนพิถีพิถันกว่าอี้เจียงมาก แรกสุดเขาจัดแจงจุดกำยานด้วยตนเอง เทเครื่องหอมสำหรับชงชาตรงหัวโต๊ะ จากนั้นก็จัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย นั่งลงตรงข้ามอี้เจียงถึงค่อยเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะเริ่มพูดคุยจากตรงที่ใดดี”
นางทำทีเป็นเปรยขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ “พอดีข้าได้ยินว่าแคว้นฉินบุกแคว้นจ้าว เจ้ามีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร”
เผยยวนตบเข่าฉาด “ยวนเองก็เพิ่งทราบเช่นกัน เมื่อครู่ก็ตั้งใจจะมาคุยเรื่องนี้กับผู้ทรงภูมินี่แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พอดีเลย ข้าอยากฟังความเห็นของเจ้า” จะได้เก็บเอาไว้อ้างอิง อี้เจียงเสริมอยู่ในใจ