ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง ทำเอาอี้เจียงรู้สึกไม่ชินชอบกล เพราะปกติเห็นแต่ท่าทางตื่นเต้นระริกระรี้ของเจ้าตัว
“มหาอำมาตย์ฟั่นจวีของแคว้นฉินมีความแค้นกับมหาอำมาตย์เว่ยฉีของแคว้นเว่ย ที่ฉินตีจ้าวในครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะผิงหยวนจวินให้การอุปการะเว่ยฉี ขอเพียงส่งหัวของเว่ยฉีไปให้แคว้นฉิน ทั้งผิงหยวนจวินและแคว้นจ้าวก็จะรอดพ้นปัญหาครั้งนี้ไปได้ แต่วิญญูชนต้องประพฤติตัวมีคุณธรรม การส่งหัวของเว่ยฉีไปให้แคว้นฉินเท่ากับสูญเสียคุณสมบัติของวิญญูชน”
อี้เจียงฟังเข้าใจ ว่าไปก็น่าขัน แคว้นฉินโจมตีแคว้นจ้าวโดยอ้างว่าแก้แค้นแทนมหาอำมาตย์ของตน แค่นี้ก็ไร้คุณธรรมแล้ว มีแต่บัณฑิตสำนักข่งจื่อนั่นแหละที่คิดถึงคำนี้ “ตามความเห็นของเจ้า ควรจะรับมือเช่นไร”
เผยยวนส่ายหน้า “ทัพฉินเหี้ยมหาญดุดันราวกับเสือร้าย ยกทัพมาคราวนี้ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์คงไม่ยอมกลับไปแน่”
นางเอามือเท้าคาง เท่ากับว่าไม่มีทางออกที่ไร้ข้อเสียน่ะสิ น่ากลัดกลุ้มเหลือเกิน
ฝ่ายตรงข้ามสังเกตสีหน้าอี้เจียง จึงพูดขึ้นอย่างตรึกตรอง “ผู้ทรงภูมิมีความเห็นอย่างไรก็ชี้แนะยวนบ้างสิขอรับ”
อี้เจียงทำหน้าเคร่ง “ความเห็นน่ะ…มีอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ซับซ้อนเกินไป อธิบายลำบาก เอาไว้วันหลังพวกเราค่อยมาคุยกันโดยละเอียดดีกว่า”
เผยยวนห่อเหี่ยวทันที ตอบกลับไปอย่างหงอยเหงา “สุดท้ายผู้ทรงภูมิก็ยังไม่ยอมคุยกับยวนอย่างสนิทสนมอยู่ดี เฮ้อ…”
นางรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน ข้ารับปากเจ้าแล้ว จะกลับคำทีหลังได้อย่างไรเล่า”
ได้ยินเช่นนี้ พลังชีวิตของชายหนุ่มจึงค่อยฟื้นคืนมาอีกครั้ง เผยยวนเทชาใส่ถ้วย ใช้สองมือประคองไปตรงหน้านาง “ผู้ทรงภูมิกล่าวเช่นนี้ยวนก็สบายใจ ยวนยังมีอีกเรื่องอยากขอร้อง ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะรับปากได้หรือไม่”
ชาที่นี่รสชาติแปลกพิลึกจนอี้เจียงดื่มไม่ลง นางแสร้งทำท่ายกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปากแค่นิดเดียวก็วาง “เรื่องอะไรล่ะ ลองว่ามาสิ”
เผยยวนอมยิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาววับภายใต้แสงเทียน “ยวนหวังว่าสักวันผู้ทรงภูมิจะช่วยแนะนำยวนให้รู้จักกับผู้ทรงภูมิกงซี ศิษย์พี่ของท่าน”
อี้เจียงชะงัก คิดไม่ถึงว่าเผยยวนจะพูดถึงคนคนนี้
สายตาที่อีกฝ่ายมองอี้เจียงค่อยๆ เลื่อนลอยขึ้นทีละน้อย “ตอนนั้นยวนโชคดีได้เจอผู้ทรงภูมิกงซีครั้งหนึ่ง ยังจำความสง่างามของท่านได้ติดตาไม่รู้ลืม สำนักกุ่ยกู่มีศิษย์ที่โดดเด่นเก่งกาจอย่างผู้ทรงภูมิกงซี ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็เช่นกัน ดังนั้นความเคารพนับถือที่ยวนมีต่อผู้ทรงภูมิจึงมาจากใจจริง”
อีกฝ่ายเอ่ยชมนางแท้ๆ แต่อี้เจียงกลับสบถอยู่ในใจจนสิงสาราสัตว์นับพันตัวออกมาวิ่งพล่าน
อะไรกัน ที่แท้เจ้านี่ก็ไม่ได้คลั่งไคล้ข้า แต่คลั่งไคล้กงซีอู๋!
แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่งเยือกเย็น นางจึงได้แต่รับคำว่าอืมด้วยสีหน้าราบเรียบ “ให้ข้าได้เจอศิษย์พี่ก่อนแล้วกัน เรื่องแค่นี้ไม่ยากหรอก ไม่ยาก…”
ฝนตกติดต่อกันอยู่หลายวันถึงจะยอมหยุด ไอร้อนกลับมาพร้อมแสงแดดอีกครั้ง
ช่วงนี้อี้เจียงอารมณ์ขุ่นมัวตลอด ประการแรกคือวันนั้นนางใช้แผนถ่วงเวลากับจ้าวจ้งเจียว ไม่รู้ว่าเขาจะเร่งให้นางคิดวิธีรับมืออีกเมื่อไร ประการที่สองเป็นเพราะระยะนี้เผยยวนชอบเอาแต่พูดถึงกงซีอู๋กับนางอย่างไม่คิดจะยั้งปาก
คิดแล้วก็สงสารตนเองเหลือเกิน สาวกที่มีความคลั่งไคล้สูงเพียงนี้ แต่กลับไม่ได้ชอบนาง
วันนี้ ‘สาวก’ ก็มา ‘ถกวิชาความรู้ที่สาบสูญ’ แต่เช้าอีกแล้ว อ่านหนังสือไปได้สักพัก เผยยวนก็มองออกไปนอกหน้าต่าง คงเพราะไม่เห็นตันคุย จึงยิ้มกริ่มพลางล้วงม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกจากอกเสื้อ “ผู้ทรงภูมิ ยวนมีอะไรอยากให้ท่านดู”
อี้เจียงเงยหน้าขึ้นจากฉบับสำเนาที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือแน่นขนัด “อะไรหรือ”
อีกฝ่ายใช้สองมือประคองม้วนหนังสือไม้ไผ่มาให้ “นี่เป็นข้อเขียนที่ยวนตั้งอกตั้งใจเขียนขึ้น อยากขอให้ผู้ทรงภูมิช่วยชี้แนะ”
นางคลี่ออกมาอ่าน ตัวหนังสือบางตัวไม่คุ้นเคยก็ต้องใช้การคาดเดาเข้าช่วย จึงอ่านได้ช้า แต่ในสายตาเผยยวน เขากลับมองว่านางตั้งใจอ่านข้อเขียนของตนอย่างจริงจัง จึงทั้งตื่นเต้นทั้งตื้นตันอย่างยิ่ง
การฝึกจำตัวอักษรอย่างเร่งรัดในช่วงที่ผ่านมาพอจะเห็นผลอยู่บ้าง อี้เจียงจึงอ่านรู้เรื่องคร่าวๆ แต่นึกค้านอยู่ในใจ