หลังอยู่ในจวนฉางอันจวินมานาน อี้เจียงก็เพิ่งได้ออกมาข้างนอกเป็นครั้งแรก รถม้าแล่นเร็ว จึงกระเทือนเป็นพิเศษ นางไม่กล้าทิ้งน้ำหนักนั่งตามปกติ เพราะกลัวกระดูกก้นกบจะแยกเสียก่อน เหลือบมองไปพบว่าจ้าวจ้งเจียวนั่งได้นิ่งยิ่งนัก
จ้าวจ้งเจียวในใจอี้เจียงอย่างมากก็แค่เจ้าเล่ห์กว่าเด็กหนุ่มทั่วไปเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ดูอ่อนโยนดี แม้ว่าความอ่อนโยนของเขาจะทำให้นางใจคอไม่ดีเสมอก็ตาม แต่นางเพิ่งเคยเห็นเขาเดือดดาลเช่นวันนี้เป็นครั้งแรก
ว่าไปแล้วการขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉีก็เท่ากับเป็นทางออกไม่ใช่หรือ เหตุใดเขาต้องโมโหด้วยนะ อี้เจียงใคร่ครวญอยู่ในใจอย่างอกสั่นขวัญแขวน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดรถม้าก็จอด ยุติการเดินทางอันแสนทรมานของอี้เจียงลงเสียที นางลากสองขาแข็งทื่อกระโดดลงจากรถแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เบื้องหน้าคือประตูเมืองยิ่งใหญ่อลังการ มีทหารยามรักษาการณ์โดยรอบ
“ไปเถอะ” จ้าวจ้งเจียวเดินนำไปก่อน
เมื่อผ่านประตูเข้าไปก็ได้พบกับทางเดินยาวเหยียด ตรงกลางเปิดโล่ง รอบด้านรายล้อมด้วยหอคอยกำแพงสูง ด้านหน้ามีประตูเมืองอีกชั้น เมื่อผ่านประตูชั้นนี้เข้าไป อี้เจียงก็ต้องตะลึงงัน…ลานกว้างขยายยาวขึ้น ทหารสวมชุดเกราะสีดำถือขวานศึกยืนเรียงเป็นสองแถว ทางเดินยาวเหยียด ข้างหน้าคือบันไดหินแกะสลักสามขั้นทอดขึ้นสู่ตำหนักอันยิ่งใหญ่
ที่แท้ประตูเมื่อครู่ไม่ใช่ประตูเมือง แต่เป็นประตูวังหลวง!
จ้าวจ้งเจียวไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง เขาเอาแต่เดินนำนางไปเรื่อยๆ นางกำนัลในอาภรณ์งดงามที่เดินผ่าน ขันทีสองสามคน หรือแม้แต่ขุนนางที่แต่งตัวเต็มยศ ล้วนแต่พากันหยุดคำนับเขากันทุกคน แต่เขาไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
จากทางเดินหลักเลี้ยวไปตามเฉลียงยาวก็มองเห็นประตูตำหนักอยู่ข้างหน้า ข้าราชบริพารในชุดสีขาวปรี่ออกมารับแล้วคำนับจ้าวจ้งเจียว “คารวะฉางอันจวิน ฉางอันจวินมาเข้าเฝ้าพระพันปีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวจ้งเจียวแค่นเสียงหึ “ไม่เข้าเฝ้าพระพันปีจะให้เข้าเฝ้าเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ฝ่ายตรงข้ามยิ้ม “นั่นสินะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ตอนนี้พระพันปีทรงกำลังให้ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าเฝ้า”
“ชู่หลงมาแล้ว?” จ้าวจ้งเจียวขยุ้มชายแขนเสื้อด้วยความโมโห “ไฉนข้าจะไม่รู้ว่าตาแก่นั่นคิดพูดอะไรบ้าง”
ข้าราชบริพารตกใจจนไม่กล้าส่งเสียง เพียงถอยออกไปอย่างระมัดระวัง
อี้เจียงรู้สึกคุ้นชื่อ ‘ชู่หลง’ เป็นอย่างยิ่ง คิดอยู่นานก็นึกออกว่าแต่ก่อนเคยเรียนเรื่อง ‘ชู่หลงเกลี้ยกล่อมพระพันปีจ้าว’ จึงบรรลุว่าอะไรเป็นอะไรทันที
แคว้นฉินยกทัพตีแคว้นจ้าว แคว้นจ้าวขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี แคว้นฉียื่นเงื่อนไขว่าจะส่งกองทัพมาช่วยรบฉินก็ต่อเมื่อพระพันปีจ้าวยอมส่งบุตรชายคนสุดท้องไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉี พระพันปีจ้าวไม่ยอม กระทั่งชู่หลงมาพูดเกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ
ตัวประกันคนนั้นก็คือฉางอันจวินมิใช่หรือ!
สักพัก ชายชราคนหนึ่งก็เดินออกจากตำหนัก ผมเป็นสีขาวโพลนทั้งหัว ถือไม้เท้าเดินเชื่องช้า ข้าราชบริพารประคองเจ้าตัวมาส่งตรงทางออก พอเห็นจ้าวจ้งเจียว ชายชราก็หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ก่อนคำนับเขาอย่างงกๆ เงิ่นๆ
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างไร้พิษภัย “ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายคงมาเกลี้ยกล่อมให้เสด็จแม่ส่งข้าไปแคว้นฉีสินะ”
ชู่หลงถอนหายใจพลางส่ายหน้า “ข้าพยายามจนสุดความสามารถแล้ว แต่พระพันปีทรงไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว เห็นทีต้องปล่อยไปตามนี้นั่นแหละ”
อี้เจียงขมวดคิ้ว หมายความว่าอย่างไร ชู่หลงเกลี้ยกล่อมพระพันปีจ้าวได้มิใช่หรือ เหตุใดถึงบอกว่าไม่สำเร็จเล่า ข้าเรียนไม่สูงนะ อย่ามาหลอกกันสิ!
แต่ชายชราตรงหน้าดูไม่เหมือนกำลังพูดโกหก
นางนึกถึงเรื่อง ‘แบกกิ่งต้นจิงขอขมา’ ขึ้นมาได้ พอจะเข้าใจอะไรเลาๆ
ดูเหมือนประวัติศาสตร์ที่นี่จะไม่เหมือนประวัติศาสตร์ที่นางรู้จักเสียทีเดียว…
จ้าวจ้งเจียวได้ยินชู่หลงบอกเช่นนั้นก็ทำท่าผยองนิดๆ เขาปัดแขนเสื้อหมุนตัวส่งสัญญาณให้อี้เจียงตามมา
นางก้าวเดินพลางเหลียวมองแผ่นหลังของชู่หลง อยากจะเข้าไปจับไหล่อีกฝ่ายเขย่าแรงๆ แล้วถามว่าท่านลุง ท่านได้พูดแบบที่หนังสือเรียนเขียนไว้หรือไม่ ตอนเกลี้ยกล่อมพระพันปีท่านไม่ได้ตั้งใจเต็มที่ใช่หรือไม่!
น่าเสียดายที่อี้เจียงเดินเข้าไปในตำหนักเรียบร้อยแล้ว