ภายในตำหนักประดับประดาด้วยเครื่องสำริด แขวนม่านยาวจรดพื้น พระพันปีจ้าวนอนอยู่บนเตียง สวมเสื้อคลุมยาวสีดำดูสุขุมสง่างาม ทว่าถูกควันกำยานที่ลอยเป็นสายบดบังจนเห็นหน้าไม่ชัด
ช่วงที่ผ่านมาอี้เจียงได้พูดคุยเรื่องหลักมารยาทของสำนักข่งจื่อกับเผยยวน ได้เรียนรู้อะไรมามากมาย การแสดงความเคารพจึงไม่เป็นปัญหา แต่จ้าวจ้งเจียวไม่ให้โอกาสนางได้คำนับด้วยซ้ำ พอเขาเข้ามาในห้องก็ปรี่เข้าไปคุกเข่าตรงหน้าเตียงพระพันปีทันที
“เสด็จแม่ดีที่สุดเลย ไม่ทรงส่งลูกไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉีจริงๆ”
เสียงของพระพันปีจ้าวแผ่วเบาและเนิบช้า “แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ช่วยแคว้นจ้าวไม่ได้”
จ้าวจ้งเจียวรีบกุมมือพระพันปีจ้าวไว้ “เสด็จแม่ตรัสอะไรเช่นนั้น พี่หญิงทรงเป็นถึงมเหสีแคว้นเยียน เหตุใดไม่ทรงขอความช่วยเหลือจากแคว้นเยียนเล่า แคว้นเยียนไม่มีทางเรียกร้องให้ลูกไปเป็นตัวประกันหรอก ไยต้องยอมก้มหัวให้แคว้นฉีกัน”
พระพันปีส่ายหน้า “พี่สาวเจ้าเป็นมเหสีแคว้นเยียน แต่คนที่มีอำนาจตัดสินใจในแคว้นเยียนไม่ใช่พี่สาวเจ้า เยียนหวังไม่อยากช่วย พันธมิตรที่แคว้นจ้าวเหลืออยู่ก็มีแต่แคว้นฉีเท่านั้น ถึงข้าจะปฏิเสธชู่หลงไปแล้ว แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี”
จ้าวจ้งเจียวเม้มปากแน่น ค่อยๆ ก้มหน้าลงซบตักมารดาราวกับเป็นลูกแกะแสนเชื่อง “เสด็จแม่จะทรงส่งลูกไปจริงๆ หรือ”
“ลูกแม่…” พระพันปีชันตัวขึ้นเล็กน้อย แล้วชะโงกตัวออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉม
พระพันปียังสาวอยู่มาก ดูน่าจะอายุแค่สามสิบกว่าเท่านั้น ใบหน้าหมดจดงดงาม แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสามีเพิ่งตายจากไปหรือไม่ ถึงได้ดูซีดเซียวเปราะบางเหลือเกิน นางหลุบตามองกระหม่อมบุตรชายพลางตบไหล่เขาเบาๆ แม้น้ำเสียงจะเศร้าสร้อย ทว่าท่าทางแน่วแน่มั่นคง ไม่สะท้อนความรู้สึกในใจให้เห็น
อี้เจียงกำลังมองนางเพลินๆ ในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ แต่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เหลือบตาขึ้นมา ทำให้ประสานสายตากันตรงๆ นางเลยนึกขึ้นมาได้ว่าตามกฎห้ามมองตามใจชอบ จึงรีบก้มหน้าอย่างรวดเร็ว
“ท่านนี้คงจะเป็นผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อที่อยู่ในจวนเจ้ากระมัง”
จ้าวจ้งเจียวตอบว่า “อืม” อย่างใจลอย ไม่หันมามองนางด้วยซ้ำ
พระพันปีตบหลังบุตรชายให้ลุกขึ้น “เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องอยากคุยกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อตามลำพัง”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ตอนที่หมุนตัวเดินผ่านอี้เจียงยังเหลือบมองนางด้วยสายตาคมกริบทีหนึ่ง
แน่นอนว่าอี้เจียงเข้าใจดีว่าเขาขู่ให้นางช่วยพูดแทน มิเช่นนั้นคงไม่พานางมาด้วย
พระพันปีสั่งให้คนม้วนม่านขึ้นไป แล้วกวักมือเรียกอี้เจียง “เชิญผู้ทรงภูมิเข้ามาคุยกันตรงนี้”
อี้เจียงเดินเข้าไปหาช้าๆ
“ผู้ทรงภูมิอ่อนเยาว์กว่าที่ข้าคิดไว้มาก ตอนอายุเท่าเจ้า ข้ายังไม่ได้แต่งงานมาอยู่แคว้นจ้าวด้วยซ้ำ”
อี้เจียงกำลังว้าวุ่นใจ จึงได้แต่ตอบไปว่า “เพคะ”
พระพันปีถอนหายใจ “เจ้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรชายข้า ผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่กลับวางใจปล่อยออกมาเผชิญโลกอันสับสนวุ่นวาย แต่ข้ากลับทำใจส่งบุตรชายไปแคว้นฉีไม่ลง ความคิดอ่านของข้าไม่อาจเทียบกับปราชญ์ได้เลยจริงๆ”
อี้เจียงเอ่ยถามออกไปอย่างอดใจไม่อยู่ “พระพันปีทรงปฏิเสธข้อเสนอแนะของชู่…ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายจริงๆ หรือเพคะ”
พระพันปีแค่นยิ้มพลางพยักหน้า “สติปัญญาของขุนนางก็เหมือนภาษีของราษฎรนั่นแหละ บางครั้งจำเป็นต้องบังคับกันถึงจะมีให้ แต่ถ้าปีใดผลผลิตไม่ดี รีดเค้นเช่นไรก็ไม่มีจ่าย แคว้นจ้าวเวลานี้อยู่ในวิกฤตเป็นตาย ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาคิดหาทางออกไม่ได้อีกแล้วจริงๆ ข้าก็ยังอยากประวิงเวลาเพื่อบุตรชายตนเอง แต่อันที่จริงข้าได้ตัดสินใจแต่แรกแล้ว”
อี้เจียงไม่คิดเลยว่าคนที่ตัดสินใจส่งฉางอันจวินไปแคว้นฉีจะเป็นตัวพระพันปีเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับชู่หลงเลยสักนิด เรียกว่าเป็นคนละคนกับพระพันปีจ้าวที่หนังสือเรียนเขียนไว้ว่าดีแต่ปกป้องบุตรชายอย่างไม่สนใจเหตุผลใดๆ โดยสิ้นเชิง
พระพันปียิ้มให้อี้เจียงอย่างอ่อนโยน “วันนี้ต่อให้ผู้ทรงภูมิไม่มา ข้าก็ยังจะเชิญเจ้ามาพบกันสักครั้งอยู่ดี ข้ารู้ว่าผู้ทรงภูมิมาจากสำนักกุ่ยกู่ แต่ข้าไม่ได้อยากฟังเจ้าพูดถึงการปกครองแผ่นดิน และไม่ได้อยากให้เจ้าช่วยคิดวิธีรับมือกับแคว้นฉิน ข้าแค่อยากให้ผู้ทรงภูมิตามจ้งเจียวไปแคว้นฉีด้วย”
อี้เจียงผงะ “เกรงว่าหวนเจ๋อจะรับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ไม่ไหว”
ฝ่ายตรงข้ามยกมือปราม “ผู้ทรงภูมิอย่าได้ถ่อมตัวไปเลย คนทั้งใต้หล้ารู้กันทั่วว่าเจ้ากับกงซีอู๋เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ข้าเคยได้ยินธรรมเนียมสำนักกุ่ยกู่มาบ้าง ได้เจ้าไปอยู่แคว้นฉีเป็นเพื่อนจ้งเจียว ข้าจะได้เบาใจ”
“…” อี้เจียงฉงนงงงวยกับคำพูดของพระพันปี
แต่พระพันปีไม่มีท่าทีว่าจะอธิบาย ราวกับกลัวว่าอี้เจียงจะไม่ยอมไป จึงสัญญาว่าต่อไปจะมอบเงินทองและที่ดินดีๆ ให้ จากนั้นก็เรียกนางกำนัลให้พานางไปส่งที่หน้าตำหนัก โดยไม่รอฟังคำตอบจากนาง
ดังนั้นคำพูดของพระพันปีไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง