ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจ้าวจ้งเจียวจะอารมณ์เสียเพียงใด อี้เจียงกลับถึงจวนก็เอาแต่หลบอยู่ในเรือนตนเอง ขนาดอยู่ห่างกันตั้งไกลยังได้ยินเสียงเด็กหนุ่มทำลายข้าวของ พวกบ่าวไพร่ต่างพากันกลัวจนไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะเกรงว่าตนเองจะแขนขาดหรือขาด้วน คืนนั้นทั่วทั้งจวนฉางอันจวินจึงมีแต่ความระส่ำระสาย
จวบจนกลางดึก โทสะของจ้าวจ้งเจียวจึงพอสงบลงบ้างแล้ว ไม่มีเสียงขว้างปาข้าวของดังมาให้ได้ยินอีก อี้เจียงเตรียมตัวเข้านอน สาวใช้ก็วิ่งเข้ามาบอกเสียก่อนว่าฉางอันจวินเรียกนางไปพบ
นางเดินไปที่ห้องโถงใหญ่อย่างอกสั่นขวัญแขวน แล้วพบว่าเผยยวนกับตันคุยก็อยู่ด้วย เซินซีที่เอาแต่หลบหน้านางมาตั้งแต่วันนั้นก็อยู่เช่นกัน แก้มข้างหนึ่งยังบวมโย้ไม่หาย
จ้าวจ้งเจียวนั่งอยู่ที่โต๊ะ ยังคงใส่ชุดทางการชุดเดิมตั้งแต่กลับออกจากวังหลวง เขากวาดตามองคนทั้งสี่พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ทั้งสี่ท่านอยู่ในจวนของข้ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ฉางอันจวินคนนี้จะได้ใช้ชีวิตสบายๆ อีกแค่ไม่กี่วันก็ต้องไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉี นอกจากผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ ท่านอื่นอยากอยู่ต่อหรือจากไปก็เชิญเลือกได้ตามใจ จ้งเจียวจะไม่บังคับฝืนใจแน่นอน”
ทั้งสามคนหันไปมองหน้ากัน ตันคุยตกใจกว่าใคร คอยส่งสายตามาให้อี้เจียงไม่หยุด เหมือนอยากถามว่าเหตุใดนางถึงถูกกันออกไปแค่คนเดียว
จ้าวจ้งเจียวคงเพลียแล้วถึงได้โบกมือ “ทุกท่านกลับไปคิดให้ดี อยากไปก็ไปได้ทุกเมื่อ ไม่อยากไปก็เตรียมตัวเก็บสัมภาระแล้วกัน”
ทั้งสี่คำนับแล้วเดินออกมา เซินซีจ้ำอ้าวเร็วกว่าทุกคน พอออกจากห้องโถงได้ก็หายวับไปในความมืดทันที
ส่วนอี้เจียงต่อให้อยากวิ่งก็วิ่งไม่ได้ เพราะถูกตันคุยกับเผยยวนจับตัวมาซักไซ้ จนความง่วงเสี้ยวเล็กๆ ที่มีกระเจิงหายไปหมด
ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับถึงเรือนได้ แต่นางก็หลับไม่ลงเสียแล้ว นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงพลางคิดถึงคำพูดของพระพันปีจ้าว
เหตุใดพระพันปีถึงได้พูดถึงกงซีอู๋ เท่าที่ฟัง เนื่องจากนางกับกงซีอู๋เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน และพระพันปีก็รู้ธรรมเนียมสำนักกุ่ยกู่ ดังนั้นจึงส่งนางไปแคว้นฉี
ธรรมเนียมสำนักกุ่ยกู่คืออะไร ศิษย์สำนักเดียวกันห้ำหั่นกันเอง?
ดังนั้นเจตนาของพระพันปีก็คือ…นางกับกงซีอู๋จะต่อสู้กัน ถึงได้ส่งนางไป? หรือพูดอีกนัยหนึ่ง พระพันปีต้องการใช้นางคอยงัดข้อกับกงซีอู๋ ไม่ให้ฉางอันจวินลำบาก?
แสดงว่ากงซีอู๋อยู่ที่แคว้นฉี?
สมองของอี้เจียงกระจ่างชัดขึ้นมา นางลุกขึ้นนั่ง จุดตะเกียง แล้วค้นจดหมายของกงซีอู๋ออกมาอ่าน
ไม่ได้อ่านมาหลายวัน จดหมายฉบับนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งเคยอ่าน อี้เจียงไปนั่งเบื้องหน้าตะเกียง ค่อยๆ อ่านทีละคำด้วยความปลาบปลื้ม
ไม่คิดเลยว่าเนื้อความในจดหมายจะเป็นเช่นนี้ กงซีอู๋เขียนบอกนางอย่างชัดเจนว่าผิงหยวนจวินถูกเชิญตัวไปแคว้นฉินแล้ว แคว้นจ้าวจะตกอยู่ในอันตราย และต้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นพันธมิตร ซึ่งจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแคว้นฉี แคว้นฉีในเวลานี้อยู่ใต้การปกครองของสตรี ความคิดความอ่านละเอียดหยุมหยิมและขี้กังวล ไม่กล้าได้กล้าเสีย จะต้องขอตัวประกันแน่ และฉางอันจวินก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ฉางอันจวินคนนี้ไม่ใช่เจ้านายที่ดีอะไร หากนางไม่มีแผนรับมือแต่แรก ก็ควรตีตัวจากมาเสีย
อี้เจียงเอามือเท้าคางที่แทบตกลงมาเพราะอ้าปากค้างด้วยความอึ้งงัน หากต้องสู้กับคนเช่นนี้ นางควรรีบวางอาวุธยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า
พอฟ้าสาง คนในจวนฉางอันจวินก็หายไปคนหนึ่ง
เซินซีที่ประกาศตัวว่าจงรักภักดีต่อเจ้านายที่สุดเลือกปีนกำแพงหนีไปตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา
ตอนที่เผยยวนนำเรื่องนี้มาบอกให้อี้เจียงรู้ นางกำลังยกชารสชาติแย่ขึ้นจรดปากเพื่อกันไม่ให้ตนเองสัปหงก
เผยยวนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ใช้ม้วนหนังสือไม้ไผ่เคาะโต๊ะโดยแรงแล้วรำพึงรำพันว่า… “ใจคนยากแท้หยั่งถึง ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเราจะไร้มโนธรรมได้เพียงนี้” จากนั้นก็ทบทวนตนเองเป็นการใหญ่ที่แต่ก่อนเห็นเซินซีเป็นสหายและยอมอ่อนข้อให้โดยตลอด
ในเวลาต่อมาตันคุยก็เดินเข้ามาบอกให้เก็บสัมภาระ
“เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ” อี้เจียงประหลาดใจ
มือกระบี่พยักหน้า ท่าทางไม่แจ่มใสนัก “แคว้นจ้าวกำลังต้องการทัพหนุน ย่อมต้องส่งตัวประกันไปให้โดยเร็ว รถม้าจากวังหลวงจอดอยู่หน้าประตูจวนแล้วขอรับ”
เผยยวนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่โอ้เอ้ รีบลุกขึ้นเอ่ยลาทันที “ข้าทอดทิ้งนายท่านไม่ได้ จะติดตามรับใช้จนถึงที่สุด ขอตัวไปเก็บสัมภาระก่อน”