อี้เจียงลนลานนิดๆ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มแบบจ้าวจ้งเจียว แต่เป็นชายหนุ่มสุขุมที่มีความเป็นผู้ใหญ่ หน้าตาหมดจดคมคาย บุคลิกโดดเด่น หล่อเหลาตรงตามทัศนคติความงามของคนยุคนี้ เมื่อถูกเขาจ้องมอง นางย่อมจะรู้สึกขัดเขิน
“เจ้าไม่ควรรับใช้ฉางอันจวินเลย” น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกเหมือนสุราหมักบ่มชั้นดี ทว่าแต่ละคำที่ออกมาราบเรียบเป็นเส้นเดียว ฟังไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด “ติดตามผิงหยวนจวินยังได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับความเป็นไปของแผ่นดิน แต่ติดตามฉางอันจวินก็เหมือนตัดขาดจากทางโลก เจ้าเป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู่ หาใช่สำนักเต๋า จะตัดขาดทางโลกได้อย่างไร”
คำพูดของเขาแทงใจดำยิ่งนัก ถูกต้อง นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น เหมินเค่อไม่ใช่งานทั่วไปที่มีการลงนามในสัญญา ทำไม่ดีอย่างมากก็แค่ถูกเบื้องบนตำหนิ ร้ายแรงที่สุดคือม้วนเสื่อกลับบ้าน ถึงอย่างนั้นก็เป็นงานที่อาจต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน
แม้จ้าวจ้งเจียวจะอารมณ์ร้าย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใจฝักใฝ่อำนาจ ทั้งยังมีที่ให้นางอยู่ มีข้าวให้นางกิน แล้วไม่ดีตรงที่ใดกันเล่า เทียบกับการติดคุกตอนที่มาถึงใหม่ๆ ชีวิตที่กินๆ นอนๆ ไปวันๆ จนกว่าจะตายถือว่าดีมากแล้ว
แน่นอนว่านางตอบไปเช่นนั้นไม่ได้ จึงให้เหตุผลว่า “ที่ข้าไปอยู่กับฉางอันจวินนับเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น หากไม่ติดคุก ข้าก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้หรอก”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตากงซีอู๋ “ศิษย์น้องพูดเช่นนี้เท่ากับโทษข้าหรือ ตอนนั้นเจ้าเป็นคนขอประลองกับข้าเองแท้ๆ ทั้งยังรับปากว่าถ้าเจ้าแพ้ จะลบความรู้สึกที่มีต่อข้าทิ้งไป ผ่านมานานป่านนี้ศิษย์น้องน่าจะลบทิ้งได้แล้วกระมัง”
ความรู้สึกที่มีต่อเขา? อี้เจียงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาคมกริบ ก่อนจะหน้าแดงด้วยความกระอักกระอ่วนเมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
นางนึกว่าศิษย์สองคนของสำนักกุ่ยกู่ทะเลาะกันด้วยเรื่องศีลธรรมจรรยาอะไรเสียอีก ที่แท้ก็ปัญหาหัวใจนี่เอง!
ด้วยกลัวจะเผยพิรุธ อี้เจียงจึงตอบกลับไปแบบคลุมเครือ “เรื่องนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว ไยท่านจึงพูดถึงมันขึ้นมาอีก”
ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ โดยไม่ตอบอะไร จากนั้นก็หมุนตัวออกเดินต่อ “ศิษย์น้องต่างจากข้า อาจารย์อบรมเลี้ยงดูเจ้ามาแต่เล็กจนโตด้วยตนเอง คาดหวังกับเจ้าไว้มาก เจ้าจะทำให้อาจารย์ผิดหวังไม่ได้”
อี้เจียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดกงซีอู๋ถึงพูดขึ้นมา นางรู้สึกกดดันราวถูกภูเขาทั้งลูกทับอยู่บนร่าง
“ข้ามีอะไรจะให้เจ้าด้วย” เมื่อเดินไปถึงหน้าบันไดหอ กงซีอู๋ก็ล้วงม้วนหนังสือไม้ไผ่บางๆ ออกมาจากแขนเสื้อ “อาจารย์มอบสิ่งนี้ไว้ให้ข้า ข้าอ่านทำความเข้าใจจบแล้ว จึงส่งต่อให้เจ้า”
นางประหลาดใจอย่างมากที่ศิษย์สำนักเดียวกับตนใจกว้างถึงขนาดยอมมอบตำราให้คู่แข่ง ปกติมีแต่จะเก็บไว้คนเดียวมิใช่หรือ
“เอ่อ…อาจารย์มอบให้ศิษย์พี่ ถ้ารับมาคงไม่ดีกระมัง” ถึงจะพูดเช่นนั้น อี้เจียงก็ยังเอื้อมมือออกไปรับ
กงซีอู๋จับม้วนหนังสือไม้ไผ่เคาะลงบนกลางฝ่ามือนางทีหนึ่ง “ข้าไม่ได้ให้เปล่าๆ”
อี้เจียงใจเต้นแรง รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล
กงซีอู๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเด็กรับใช้ที่เป็นคนส่งสารเมื่อครู่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง รายงานว่าทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขอเชิญให้เขาไปที่หอกลางของสำนักศึกษา
อี้เจียงพอเดาได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่ากงซีอู๋เรียกนางมาที่นี่จะต้องไม่มีจุดประสงค์แค่พูดคุยกันไม่กี่คำ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
กงซีอู๋ชี้มาที่นางแล้วสั่งเด็กรับใช้ว่า “ท่านนี้คือผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อแห่งสำนักกุ่ยกู่ อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยเชิญนางไปที่หอกลาง ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน”
เด็กรับใช้พยักหน้ารับคำสั่ง ยืนส่งเขาจากไปอย่างนอบน้อม จากนั้นค่อยหันมาเชิญอี้เจียงออกเดิน