ชายชราผมขาวจากโต๊ะฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นมากล่าวว่า “ข้ามองว่าน้ำให้กำเนิดไม้ได้ ไม้มากซับน้ำ น้ำมากไม้เพิ่ม เสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน แคว้นฉีธาตุน้ำ แคว้นจ้าวธาตุไม้ ส่วนแคว้นฉินธาตุไฟ หากกดแคว้นจ้าวไว้ได้ ก็จะกลายเป็นไฟล้างผลาญไม้ให้มอดไหม้ ตามหลักเบญจธาตุ ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวคืออาศัยฉีต้านฉิน เหตุใดอันผิงจวินถึงไม่ปล่อยไปตามครรลองธรรมชาติ เข้าช่วยแคว้นจ้าว แล้วได้ชื่อว่ารักษาสัจจะไปในตัว”
เถียนตันพยักหน้า “บัณฑิตสำนักอินหยางพูดจามีความหมายลึกซึ้ง แตกต่างจากที่เคยได้ยินมาจริงๆ”
แต่พอข้ารับใช้ถือม้วนหนังสือไม้ไผ่จากด้านหลังฉากบังตามาส่งให้อีกครั้ง น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “แผ่นดินแบ่งออกเป็นแคว้นต่างๆ แต่ธาตุของผู้ทรงภูมิมีเพียงห้าธาตุ ต่อไปหากมีแคว้นอื่นเปิดศึก ควรจะจัดอยู่ในธาตุใดกันเล่า”
บัณฑิตผมขาวส่ายหน้ายิ้มๆ ท่าทางปลงตกว่าพูดเรื่องลึกซึ้งกับคนมีปัญญาตื้นเขินไปก็เท่านั้น “ช่างเถอะ อันผิงจวินไม่เชื่อเรื่องธาตุ ย่อมไม่คล้อยตามอยู่แล้ว”
ใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาพูดอีก “พระพันปีจ้าวเป็นน้องสาวร่วมอุทรของฉีหวัง ฉีและจ้าวจึงมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แค่ขอให้ส่งตัวประกันก็ไม่เหมาะแล้ว นี่ยังจะนั่งดูเฉยๆ โดยไม่ช่วยเหลืออีกหรือ”
“ผู้น้อยคิดว่า…” บัณฑิตอีกคนลุกขึ้นยืน
อี้เจียงมองบัณฑิตคนใหม่ลุกขึ้นยืนทีละคน แล้วถูกเถียนตันตอบกลับไปทีละคน ความสนใจของนางจดจ่ออยู่กับข้ารับใช้ที่เดินกลับไปกลับมาคนนั้น
คนที่โต้แย้งบัณฑิตไม่ใช่เถียนตัน แต่เป็นคนที่อยู่หลังฉากบังตา
ในที่สุดห้องโถงก็เงียบกริบ ไม่ใช่เพราะไม่มีใครอยากพูด แต่คงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องพูด
มหาอำมาตย์คนหนึ่งเพิกเฉยต่อความน่าเชื่อถือของแคว้นท่ามกลางเหล่าบัณฑิตทั่วแผ่นดินที่นั่งชุมนุมกันได้ แสดงว่าตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะตระบัดสัตย์
อันที่จริงในมุมมองของอี้เจียง คนอื่นจะตัดสินใจเช่นไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อนางทั้งสิ้น เพราะเมื่อผ่านไปอีกร้อยอีกพันปี สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่อยู่แล้ว แต่สำหรับหวนเจ๋อ ตอนนี้นางเป็นเหมินเค่อของแคว้นจ้าว ตามหลักควรต้องรับใช้แคว้นจ้าว
“ได้ยินว่าวันนี้มีคนของสำนักกุ่ยกู่มาที่สำนักศึกษาด้วย ไม่ทราบว่าจะขอฟังความเห็นได้หรือไม่”
อี้เจียงเงยหน้าขึ้น พบว่าเถียนตันกำลังสอดส่ายสายตามองหาไปทั่ว บัณฑิตคนอื่นก็เหลียวมองกันไม่หยุด คราวนี้นางมั่นใจแล้วว่าคนที่อยู่หลังฉากบังตาคือใคร
นอกจากกงซีอู๋ยังจะมีใครจงใจลากนางออกมาอีก นางรู้มาจากเผยยวนว่าเสนาบดีเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสูง เท่าที่ดูจากวันนี้ กงซีอู๋ที่ได้ครองตำแหน่งเสนาบดีสามารถควบคุมเถียนตันซึ่งเป็นมหาอำมาตย์ได้อีกด้วย
อี้เจียงบีบฝ่ามือตนเอง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืน “หวนเจ๋อคิดว่าแคว้นฉีจำเป็นต้องช่วยเหลือแคว้นจ้าว”
เถียนตันทอดสายตามาแต่ไกล แล้วกวาดตาพิจารณานางอย่างไม่คิดจะปิดบังความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเป็นความประหลาดใจที่เกิดจากตัวนางหรือคำพูดของนางกันแน่ “เถียนตันใคร่ขอฟังคำอธิบายโดยละเอียด”
สมองของอี้เจียงทำงานอย่างรวดเร็ว พยายามถ่ายทอดออกมาทางคำพูด “คนทั้งใต้หล้ารู้กันดีว่าแคว้นฉินมีใจกระหายเหี้ยมเกรียม ที่โจมตีแคว้นจ้าวครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้น แต่เป็นการเดินหมากตัวแรกเพื่อหยั่งเชิงหกแคว้นต่างหาก หลังจากนี้จะไม่มีแคว้นใดโชคดีหนีรอดไปได้แม้แต่แคว้นเดียว หากฉีและจ้าวเป็นเหมือนเยียนและจ้าวที่ไม่สมัครสมานกัน ก็จะเข้าทางแคว้นฉินพอดี ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ใช่ส่งทหารไปช่วยจ้าว แต่เพื่อช่วยฉี หรืออาจกล่าวได้ว่าช่วยราษฎรแคว้นอื่นนอกเหนือจากแคว้นฉิน”
ดวงตาของเถียนตันเป็นประกายวาบด้วยความตกตะลึง
ไม่ว่าอย่างไร ‘ผู้มีประสบการณ์’ อย่างอี้เจียงก็มองจากมุมที่รู้ว่าแคว้นฉินจะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง โดยไม่ทันคิดว่ากลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าตนเองไม่ทันตระหนักถึงจุดนี้ อย่างน้อยในสายตาของเถียนตัน เขาก็มองแคว้นฉินเป็นเพียงพวกชอบวางตัวเป็นใหญ่มาโดยตลอด จะอย่างไรการแย่งชิงความเป็นใหญ่ก็คือจุดมุ่งหมายหลักของยุคนี้
เถียนตันยังส่งสายตาไปให้ข้ารับใช้เหมือนเดิม ฝ่ายหลังเดินเข้าไปเอาม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกมาจากด้านหลังฉากบังตาอีกครั้ง
อี้เจียงคอยสังเกตสีหน้าเถียนตันตลอดเวลา อยากจะปรี่เข้าไปดูเองเสียด้วยซ้ำว่าบนม้วนหนังสือเขียนไว้ว่าอย่างไร
เถียนตันอ่านจบก็เก็บม้วนหนังสือเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มพูด “ผู้ทรงภูมิฉลาดปราดเปรื่อง มีสายตากว้างไกล เถียนตันได้เรียนรู้จากท่าน จะยกทัพออกไปโดยเร็ว ไม่มีทางผิดคำพูดเป็นอันขาด”
แม้จะถือว่าตนเองเป็นคนนอก แต่อี้เจียงก็ต้องยอมรับว่าชั่วขณะนี้นางรู้สึกภูมิใจอย่างมาก นางมองไปทางด้านหลังฉากบังตา ม่านแพรถูกแหวกออกเบาๆ ร่างของใครคนหนึ่งเคลื่อนไหว แต่ทันเห็นแค่ชายเสื้อคลุมไวๆ เท่านั้น
เท่ากับว่าข้าชนะแล้วหรือไม่นะ กงซีอู๋ยอมปล่อยให้ข้าชนะง่ายๆ เชียวหรือ อี้เจียงนึกถึงประโยคที่เขาพูดไว้ว่า ‘ข้าไม่ได้ให้เปล่าๆ ’ แล้วรู้สึกว่าเรื่องยังไม่จบแค่นี้แน่