ฤดูร้อนมาเยือนแบบไม่รู้ตัว เรือนของอี้เจียงเล็กมาก เปิดประตูออกไปเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เจอดอกไม้ใบหญ้าขึ้นดารดาษ แสงอาทิตย์เจิดจ้า กลิ่นดอกไม้ตลบอบอวล ทั่วทั้งเรือนมีแต่บรรยากาศอันสดชื่น
อากาศที่หลินจือกำลังดี ตกบ่ายจะมีลมภูเขาพัดมาจากทางทิศเหนือ นางรู้สึกว่าช่วงเวลานี้สบายที่สุด หลายวันที่ผ่านมา พอคล้อยบ่ายทีไร นางจะเอาม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ได้จากกงซีอู๋มานั่งอ่านตรงริมหน้าต่าง
ว่าไปก็แปลก ทั้งที่เป็นความเห็นเกี่ยวกับเรื่องหนักๆ ของแผ่นดิน บางเรื่องก็ลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจ แต่บทขยายความที่เขาเขียนไว้มักจะโผล่มาได้ถูกจังหวะเสมอ ทำให้นางอ่านต่อไปได้อย่างราบรื่น อี้เจียงอดคิดไม่ได้ ว่าถ้าให้เขาเป็นอาจารย์คงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเขาเข้าใจว่าผู้เรียนต้องการอะไร
อี้เจียงอดยิ้มไม่ได้เมื่อจินตนาการภาพชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสอนหนังสือในยุคปัจจุบัน ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านนอก นางรีบปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม เห็นเผยยวนที่สวมเสื้อสีเขียวอ่อนเนื้อบางเดินเข้ามาในเรือน
“ผู้ทรงภูมิพอจะมีเวลาหรือไม่”
อี้เจียงเก็บม้วนหนังสือแล้วนั่งตัวตรง “มี ทำไมหรือ”
ฝ่ายตรงข้ามยิ้มอย่างเกรงใจ “ยวนรู้ว่าระยะนี้ผู้ทรงภูมิไม่อยากพบใคร แต่สหายเก่าคนหนึ่งของยวนอยากเจอท่านมาก ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะให้พบหน่อยได้หรือไม่”
แน่นอนว่าอี้เจียงไม่อยากพบ แต่นานๆ เผยยวนจะขอร้องนางสักที ที่นางนั่งอ่านหนังสืออย่างตอนนี้ได้ก็เพราะเขา ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ลง พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ได้”
เผยยวนเอ่ยขอบคุณแล้วเดินออกไป อี้เจียงรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็เก็บของออกจากโต๊ะ ก่อนนั่งตัวตรงอย่างสำรวม
สักพักเผยยวนก็กลับมาอีกครั้ง “เชิญผู้ทรงภูมิคุยกันตามสบาย ยวนไม่รบกวนแล้ว” เขาเบี่ยงตัวให้คนที่อยู่ข้างหลังเดินเข้ามา จากนั้นตนเองก็หมุนตัวเดินออกไป
อี้เจียงมองไปที่ประตูเรือน สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือชุดสีเขียว เสื้อปลายแขนสอบ เข้ารูปตรงเอว เหมือนชุดชาวหู* ผู้มาใหม่ผิวขาวสะอาด หน้าตาหมดจด รูปร่างผอมบาง ไม่สูง แต่ชุดที่สวมใส่ทำให้ดูทะมัดทะแมงอย่างยิ่ง
“ผู้น้อยเซ่าจิว คารวะผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ”
อี้เจียงฟังเสียงถึงเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี นางทั้งแปลกใจทั้งดีใจ รู้สึกตื่นเต้นเหมือนตนเองถูกจับไปปล่อยเกาะร้าง ท่ามกลางความเวิ้งว้างก็ได้พบพวกเดียวกันอยู่ใกล้ๆ เพราะเจ้าคนชอบแต่งชุดสตรีนั่นแท้ๆ ตอนนี้นางจึงแทบแยกแยะสตรีบุรุษไม่ออกแล้ว
“แม่นางเซ่าจิวมาจากที่ใดหรือ” อี้เจียงรู้สึกว่าคำถามของตนเองฟังดูตีสนิทเกินไปสักหน่อย
อีกฝ่ายนั่งคุกเข่าตรงข้ามอี้เจียง “เซ่าจิวเป็นศิษย์สำนักโม่จื่อ เป็นคนบ้านเดียวกันกับเผยยวน เพิ่งมาจากเมืองต้าเหลียงแคว้นเว่ยเมื่อเดือนก่อน เห็นใครต่อใครพูดกันว่าผู้ทรงภูมิเย่อหยิ่งทะนงตน ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ เท่าที่ข้าเห็น ผู้ทรงภูมิก็เป็นกันเองดีนี่”
อี้เจียงหัวเราะแห้งๆ ขณะเลื่อนชาที่อุ่นแล้วไปให้ “แม่นางเซ่าจิวมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
เซ่าจิวยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางแลบลิ้น “ฝีมือต้มชาของผู้ทรงภูมิไม่ได้เรื่องเลย ดีนะข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชา”
อี้เจียงไม่โกรธแม้แต่น้อย กลับชอบนิสัยโผงผางปากไวของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่คนเช่นนี้ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรอก
เซ่าจิววางจอกชาลง พอเหลือบตาขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าก็ดูเคร่งเครียดจริงจังขึ้น “วันที่ผู้ทรงภูมิเกลี้ยกล่อมอันผิงจวินที่สำนักศึกษาจี้ซย่า เซ่าจิวก็อยู่ด้วย ที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์เหมือนบัณฑิตคนอื่น นั่นคือใคร่อยากถามผู้ทรงภูมิว่าไฉนถึงได้มั่นใจว่าแคว้นฉินคิดจะชิงแผ่นดิน ไม่ใช่แค่วางตัวเป็นใหญ่”
ที่แท้คนพวกนั้นมาหาข้าเพราะอยากถามเรื่องนี้เองหรือ อี้เจียงรู้สึกขบขันนิดๆ ขณะย้อนถามไปว่า “แล้วพวกเจ้าไม่ได้คิดเช่นนี้หรือ”
เซ่าจิวตาหงส์ หางตายกเฉียงขึ้นเล็กน้อย ดูซุกซนน่ารักแต่น้ำเสียงกลับเย็นชา “แน่นอนว่าไม่ใช่”
อี้เจียงประหลาดใจ หลังจากใคร่ครวญคำพูดและน้ำเสียงของอีกฝ่ายอยู่สักพักก็เข้าใจแจ่มแจ้ง นางรู้จุดประสงค์ของแคว้นฉินเพราะมองผ่านอดีต แต่คนในยุคนี้เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไป จะรู้เจตนาของแคว้นฉินชัดเจนได้อย่างไร แคว้นฉินไม่ได้ประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารู้เสียหน่อยว่าข้าจะรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง
นางขยุ้มน่องตนเองอย่างแรง คิดน้อยไปจริงๆ มิน่าตอนนั้นเถียนตันถึงได้ดูตกตะลึงนัก จะบอกว่าคำพูดของนางในวันนั้นเปิดโปงความจริงก็ยังได้
อยู่ๆ คนที่นั่งตรงข้ามก็ชะโงกหน้าเข้ามาจ้องอี้เจียงเขม็ง “ผู้ทรงภูมิคิดว่าเหตุใดกงซีอู๋ถึงได้ยอมรับความคิดของท่าน”
“นั่นเพราะ…”
“เพราะเขาก็คิดเช่นนี้เช่นกัน” เซ่าจิวต่อให้เสียเอง ความเหยียดหยามสะท้อนออกมาทางสีหน้า “กงซีอู๋ผู้นี้มองแคว้นฉินเป็นศัตรูตัวฉกาจของแคว้นฉีมาโดยตลอด แต่เป็นการปักใจเชื่อที่ไร้เหตุผลเกินไป”
ต้องเรียกว่ามองการณ์ไกลต่างหากเล่า อี้เจียงเถียงในใจ
เซ่าจิวพูดขึ้นมาอีก “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ตนเองไม่พูด แต่ยืมปากผู้ทรงภูมิพูด”
ท่าทางนางจะไม่ชอบกงซีอู๋มากทีเดียว อี้เจียงลอบพินิจเงียบๆ