“การวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินใครอย่างไร้ความรับผิดชอบก็มิต่างจากการทำลายชื่อเสียงคนอื่น คำพูดในวันนั้นของผู้ทรงภูมิเท่ากับเป็นการกล่าวหาว่าแคว้นฉินไร้คุณธรรม แคว้นฉินหรือจะยอมปล่อยให้จบลงโดยง่าย” เซ่าจิวส่ายหน้าถอนหายใจ “ลองคิดถึงเว่ยฉีที่กำลังหนีตายอยู่ก็แล้วกัน เขาเป็นคนจุดชนวนสงครามฉินจ้าวครั้งนี้ขึ้นมา เกรงว่ามุมมองของศิษย์สำนักกุ่ยกู่อย่างพวกท่านจะนำความเดือดร้อนมาให้ราษฎรในภายหลังเช่นกัน”
อี้เจียงหัวเราะ “แม่นางคิดมากไปแล้ว”
เซ่าจิวจ้องหน้าอี้เจียงอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน สีหน้ากลับไปยิ้มแย้มอีกครั้ง “ช่างเถอะ เซ่าจิวพูดแค่นี้แล้วกัน ผู้ทรงภูมิฟังแล้วก็ลืมไปเสีย อีกไม่กี่วันตรงริมแม่น้ำจือสุ่ยจะจัดงานเฉลิมฉลอง เซ่าจิวขอเชิญล่วงหน้า ผู้ทรงภูมิจะต้องไปเที่ยวชมงานด้วยกันให้ได้เล่า”
อี้เจียงยังเอาแต่คิดถึงคำพูดของเซ่าจิว จึงพยักหน้ารับอย่างใจลอย
เซ่าจิวออกไปแล้วแต่เสียงยังดังมาให้ได้ยินจากในสวน อี้เจียงดึงความคิดกลับมาและเดินออกไปดู ที่แท้อีกฝ่ายก็กำลังคุยกับเผยยวน
“ปกติเวลาข้าชวนให้ออกไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เห็นเจ้าจะเคยรับปาก พอรอบนี้ไม่ชวนเจ้า เจ้ากลับจะตามไปด้วย!” เซ่าจิวเอ่ยขึ้นมา
เผยยวนเดินตามหลังเซ่าจิวพลางกล่าวว่า “ออกไปเที่ยวกับเจ้าจะสนุกอะไร ออกไปเที่ยวกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อสิ จะต้องได้เรียนรู้อะไรมากมายแน่นอน”
“เจ้า…” เซ่าจิวชะงักเท้า หันมาถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่พาเจ้าไปด้วย!” พูดจบก็วิ่งออกไปหลายก้าว พอนึกอะไรขึ้นได้ก็หันกลับมาด่า “เจ้าทึ่ม!”
อี้เจียงยืนพิงประตูมองอย่างสนุกสนาน อยากจะผิวปากสักทีด้วยซ้ำ
ได้ยินว่าฉีหวังประชวรหนัก ผู้ที่จัดการดูแลราชกิจบ้านเมืองในตอนนี้คือพระมเหสีจวินคนเดียว คนทั้งแผ่นดินกำลังหน้าดำคร่ำเครียด ไฉนถึงจะจัดงานเฉลิมฉลองอะไรนี่เล่า คิดแล้วก็แปลก
ฝนตกอยู่สองวันหลังจากที่เซ่าจิวกลับไป เมื่อฟ้าเปิดอีกครั้ง อากาศก็ร้อนขึ้นไม่น้อย เซ่าจิวให้คนส่งเทียบมาเชิญอี้เจียงซ้ำ เพื่อที่ว่านางจะได้ไม่ลืมนัดหมาย
วันนั้นอี้เจียงตื่นแต่เช้า รู้สึกว่าอากาศค่อนข้างร้อน รื้อค้นสัมภาระอยู่นานถึงจะเจอเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อบาง ดีที่นางเป็นคนปรับตัวเก่งมาแต่ไหนแต่ไร หากต้องใส่เสื้อผ้ายาวๆ ปิดแขนปิดขาทุกวันคงทนไม่ไหวแน่
วันนี้ตันคุยกระตือรือร้นเป็นพิเศษ จูงม้าเข้ามาตามหน้าตามหลัง จะไปส่งอี้เจียงให้ได้
“แม่น้ำจือสุ่ยอยู่ไม่ไกล ข้าเดินไปเองได้” นางบอกพลางเดินออกจากจวน
ฝ่ายตรงข้ามจูงม้าตามมาข้างหลัง “ไม่ได้ขอรับ ข้าต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้แม่นาง”
อี้เจียงฟังแล้วตงิดใจจึงหันมาถามเขา “แล้วตอนที่กงซีอู๋เรียกข้าไปพบที่สำนักศึกษาจี้ซย่า ไฉนเจ้าไม่เห็นบอกว่าจะตามไปอารักขาข้าเลย เจ้าเชื่อใจเขาเพียงนี้เชียว?”
ตันคุยหัวเราะหึๆ “ที่นั่นมีแต่บัณฑิตที่เพียบพร้อมด้วยวิชาความรู้ จะอันตรายได้อย่างไร”
อี้เจียงส่ายหน้าแล้วออกเดินต่อโดยไม่สนใจเขา
แม่น้ำจือสุ่ยเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองหลินจือ กว้าง น้ำใสสะอาด บรรยากาศเงียบสงบ สองฟากฝั่งนอกเมืองที่แม่น้ำไหลผ่านเต็มไปด้วยพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อเข้ามาในเมืองก็เห็นแต่ศาลาและหอริมน้ำ ทัศนียภาพรื่นรมย์ตระการตา
เซ่าจิวรออยู่ในศาลาริมฝั่งน้ำ วันนี้เจ้าตัวแต่งกายด้วยสีดำทั้งชุด ดูเรียบง่ายเป็นอิสระ แต่อี้เจียงเห็นแล้วร้อนแทน
“ผู้ทรงภูมิมาตรงเวลาพอดี” เซ่าจิวเดินเข้ามาทักทาย พอเห็นว่ามีตันคุยอยู่ด้วยก็ยกมือประสานค้อมกายคำนับ “ท่านนี้จะต้องเป็นท่านตันคุยผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแน่นอน”
ชายหนุ่มยิ้มเขินๆ “ชมเกินไปแล้ว”
เซ่าจิวเอ่ยทักทายทั้งสองคน แต่สายตากลับคอยมองไปข้างหลังอี้เจียงราวกับกำลังหาใครอยู่
อี้เจียงบอกยิ้มๆ “เผยยวนไม่ได้มาหรอก แต่ถ้าเจ้าอยากเจอเขา ข้าให้ตันคุยไปรับเขามาก็ได้”
“ไม่ๆๆ!” เซ่าจิวส่ายหน้า “คนสำนักโม่จื่อเช่นข้ารำคาญนิสัยหยุมหยิมกับเรื่องธรรมเนียมของบัณฑิตสำนักข่งจื่อเป็นที่สุด เขาไม่มาก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมาคอยเถียงกับข้า”
อี้เจียงกลั้นยิ้มพยักหน้า
ทั้งสามเดินเข้าไปในศาลา อี้เจียงกวาดตามองไปรอบตัวแต่ไม่เห็นมีคนอื่น จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “งานเฉลิมฉลองเล่า”
เซ่าจิวยิ้ม “น่าจะยังไม่ถึงเวลากระมัง ต้องรออีกสักพัก” จากนั้นก็จับมืออี้เจียงเอาไว้อย่างสนิทสนม “ฉวยโอกาสตอนที่งานเฉลิมฉลองยังไม่เริ่ม ข้ามีเรื่องอยากคุยกับผู้ทรงภูมิตามลำพัง ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”
เชื่อว่าเซ่าจิวคงไม่ค่อยได้เจอพวกผู้ทรงภูมิที่เป็นสตรีบ่อยนัก อี้เจียงเหลือบมองตันคุยทีหนึ่งแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นเราไปหาที่คุยกันดีกว่า”