กล่อมเกลาปราชญ์หญิง
ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 4
บทที่ 4
อี้เจียงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เขาอยู่ห่างจากตนเองแค่ชั่วผนังกั้น นางถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ฝ่ายตรงข้ามส่ายหน้า “ระวังหน่อย หลุมที่ขังพวกเราไว้เชื่อมต่อกัน หากแตะต้องอะไรเพียงนิดก็จะกระทบกันทั้งหมด ดังนั้นอย่าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า”
นางพิจารณากลไกนี้ใหม่อีกครั้งแล้วขมวดคิ้ว “หมายความว่าถ้าจะออกไปให้ได้ พวกเราก็ต้องเคลื่อนไหวพร้อมกันสองฝั่งน่ะสิ”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า
อี้เจียงนึกว่ากงซีอู๋จะมีแผนการอะไรดีๆ เสียอีก ปรากฏว่ารออยู่นานเขาก็ยังไม่พูดต่อ ทั้งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาทางสีหน้าทั้งสิ้น
กลไกนี่ก็แค่รูปทรงเรขาคณิตวางต่อกันเท่านั้น ไม่เป็นไร เมื่อก่อนข้าทำข้อสอบเรขาคณิตได้คะแนนดี อี้เจียงให้กำลังใจตนแล้วตัดสินใจว่าจะหาวิธีแก้ปัญหาเอง
“หลักการกลไกสำนักโม่จื่ออยู่ที่ความสัมพันธ์ของเหตุและผล ทุกอย่างเชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่ หากเจ้าหาวิธีแก้สำเร็จก็จะออกไปได้” กงซีอู๋พูดขึ้นเรียบๆ
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อี้เจียงก็คิดว่านี่อาจเป็นหลักการฟิสิกส์มากกว่า ดวงตานางกลอกมองซ้ายมองขวากลับกันไปมา ในนี้มีท่อนไม้แนวขวางอย่างน้อยหกสิบท่อน ดูไม่ออกว่าต่อกันอย่างไร พวกมันวางซ้อนกันอย่างแน่นหนาแต่ก็ยังขยับได้ ใช้กฎอะไรกันนี่ หากขยับท่อนไม้ท่อนหนึ่งแล้วท่อนไม้ท่อนอื่นๆ ขยับตาม ก็หมายความว่าขอแค่ขยับแล้วหยุดวิถีการเคลื่อนไหวของกลไกได้ก็พอแล้วใช่หรือไม่
คิดมาถึงตรงนี้สมองก็สว่างวาบ อี้เจียงยกมือซ้ายขึ้นดันไม้ตรงต้นคออย่างยากลำบากพลางจินตนาการว่ามันจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดแล้วบอกกงซีอู๋ “ผลักไม้ท่อนที่สามทางทิศใต้หน่อย”
ชายหนุ่มปรายตามองอี้เจียงทีหนึ่ง แต่ก็ให้ความร่วมมือโดยดี ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของเขาและนาง ไม้สองท่อนนั้นมาเจอกันตรงกลาง ดันกันแนบสนิท ทั้งคู่จึงมีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวมากขึ้นเล็กน้อย
อี้เจียงลิงโลด วิธีนี้ได้ผล! นางจึงมองหาท่อนไม้ท่อนที่สองที่จะจัดการด้วยวิธีเดิม
เวลาอาหารกลางวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว จากที่คำนวณคร่าวๆ อี้เจียงยืนนิ่งอยู่ในนี้มาแล้วสองสามชั่วยาม* เป็นอย่างต่ำ ร่างกายเล็กบางของนางหรือจะทนรับความตรากตรำเช่นนี้ไหว ท้องโหวงด้วยความหิว เหงื่อไหลราวกับสายฝน เพิ่งจะดันไม้ออกไปได้แค่สี่ห้าท่อนก็รู้สึกว่าร่างกายมาถึงขีดจำกัดแล้ว
ร่วมแรงร่วมใจกันสองคนน่ะไม่มีปัญหา แต่ผ่านไปได้ไม่นานอี้เจียงก็พบว่าท่อนไม้ที่ดูเหมือนวางต่อกันง่ายๆ นี้ความจริงแล้วซับซ้อนพิสดาร ยิ่งแก้ยิ่งยาก ระยะเวลาที่นางต้องหยุดใช้ความคิดก็นานขึ้นเรื่อยๆ
อี้เจียงเป็นคนแข็งมาแต่ไหนแต่ไร หากเซ่าจิวค่อยพูดค่อยจากันดีๆ ยังพอว่า แต่อีกฝ่ายกลับใช้วิธีนี้ นางจึงมุ่งมั่นว่าจะต้องออกจากคุกนี้ไปให้ได้
“ท่อนที่สามด้านซ้ายหรือท่อนที่สี่ด้านหน้านะ” อี้เจียงงึมงำเบาๆ ติดอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไปต่อไม่ได้เสียที
“ท่อนไม้หกสิบสี่ท่อนมีกลไกทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบแปดกลไก ศิษย์น้องไม่เคยเจอกลไกสำนักโม่จื่อมาก่อน แก้กลไกได้ขั้นนี้นับว่าปราดเปรื่องจริงๆ” มีแค่เสียงของกงซีอู๋นั่นแหละที่ยังเรียบเรื่อยผ่อนคลายประดุจสายลมอ่อนที่พัดผ่านป่าผืนนี้ได้ “ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าศิษย์น้องไม่ควรปลีกตัวจากแผ่นดินอันสับสนวุ่นวาย ไปจากฉางอันจวินแล้วหาเจ้านายใหม่เสียดีกว่า”
เสียงของเขาดึงสติอี้เจียงกลับมา นางใช้มือซ้ายที่เคลื่อนไหวได้แล้วปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เพราะศิษย์พี่แท้ๆ ตอนนี้ข้าอยากปลีกตัวจากแผ่นดินอันสับสนวุ่นวายก็ทำไม่ได้แล้ว”
ในสำนักศึกษาวันนั้น แรกสุดเขาโน้มน้าวนางไม่ให้หนีไปใช้ชีวิตอย่างสงบ จากนั้นก็ชี้นำให้เถียนตันเรียกนางออกมาแสดงความเห็น แล้วรับความเห็นของนางโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทำให้นางตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมาย ถ้าบอกว่าไม่มีเจตนา…ใครจะเชื่อ
ชายหนุ่มยังคงทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึกและไม่ได้ปฏิเสธ
อี้เจียงพูดออกไปแล้วก็นึกเสียใจในความปากไวของตนเอง เมื่อก่อนหวนเจ๋อจะต้องไม่มีความคิดอยากหลีกหนีความวุ่นวายแน่ น่ากลัวว่าการแสดงออกของนางในวันนี้และสิ่งที่นางพูดในสำนักศึกษาจี้ซย่าอาจทำให้เขาสงสัยแล้วก็เป็นได้
นางใคร่ครวญสักพัก ตัดสินใจโต้กลับไปอีก “ไม่ได้เจอกันนาน ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าศิษย์พี่พูดเก่งขึ้นมากเลยเล่า”
กงซีอู๋หันมามองอี้เจียง เสื้อสีขาวของเขาเปรอะเปื้อนคราบดิน ผมยาวสยายตกลงมาปรกตาครึ่งหนึ่ง ดูนิ่งสงบราวกับหิมะบนผาสูง “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าศิษย์น้องไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”
อี้เจียงชะงัก ข้าคิดมากไปเองอย่างนั้นหรือ
หลังพูดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นดันไม้ท่อนที่อยู่หลังเอว นางนึกแปลกใจที่เขาไม่เรียกให้ตนช่วยดันไม้พร้อมกัน ก่อนจะพบว่าพอเขาผลักไม้ท่อนนั้น ไม้ท่อนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวก็ขยับออกไปหมด ราวกับทหารที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเคลื่อนตัวออกไปจนชิดผนังหลุมอย่างว่าง่าย รอบกายจึงเบาโล่งขึ้นทันที
กงซีอู๋ปัดเสื้อผ้า ดึงกระบี่ออกมา ใช้ฝักยันผนังดินเอาไว้ มืออีกข้างจับปากหลุมเป็นหลักยึด พาตนเองกระโดดขึ้นไปข้างบน จากนั้นก็เดินมาที่หลุมของอี้เจียง ยื่นมือลงมาให้นาง
ตอนที่ถูกเขาดึงขึ้นจากหลุม อี้เจียงยังตกตะลึงไม่หาย “ที่แท้ท่านก็แก้กลไกได้?”
ชายหนุ่มเหลือบมองนาง “ข้าไม่ได้บอกนี่ว่าแก้ไม่ได้”
บ้าจริง! อี้เจียงรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทั้งคู่เดินตามกันไปที่ริมแม่น้ำ เรือไม่อยู่แล้ว คงเป็นเซ่าจิวที่พายกลับไปฝั่งตรงข้าม
อี้เจียงมองอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าทางด้านตะวันตกก็ถอนหายใจ “ตันคุยมากับข้าด้วย แต่ไม่เห็นจะออกตามหา”
กงซีอู๋ตอบ “ตันคุยเป็นคนซื่อ เซ่าจิวเองก็เป็นบัณฑิตที่มีแต่ชื่อกลวงๆ อยู่ในสำนักศึกษาจี้ซย่า เขาไม่สงสัยในตัวนางหรอก เซ่าจิวแค่หาเหตุผลง่ายๆ มาอ้าง เขาก็ไม่ออกตามหาแล้ว”
พอนึกถึงเซ่าจิว อี้เจียงก็โมโหไม่หาย “ในเมื่อนางเป็นบัณฑิตที่มีแต่ชื่อกลวงๆ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า”
“ถึงสำนักโม่จื่อจะรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นน่าชื่นชม แต่แนวคิดเผื่อแผ่ความรักทั้งแผ่นดิน ไม่โจมตีกันและกันที่พวกเขาริเริ่มขึ้นนั้นไม่อ้างอิงกับหลักความเป็นจริงแม้แต่นิดเดียว ลูกศิษย์รุ่นเซ่าจิวที่อายุยังน้อยย่อมทุ่มเทให้กับสิ่งที่ไร้ความเป็นจริงนี้ และถูกหลอกใช้ได้ง่ายที่สุด”
อี้เจียงนิ่งคิด “แคว้นฉินเป็นคนบงการ?”
“เป็นไปได้มาก เพราะเจ้าเน้นย้ำจุดยืนให้ฉีช่วยจ้าว ส่วนข้าผลักดันให้นำไปปฏิบัติจริง แคว้นฉินจะไม่อยู่เฉยก็ไม่แปลก ฟั่นจวี มหาอำมาตย์แคว้นฉินก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง ว่าไปแล้วก็มีศักดิ์เป็นศิษย์น้องของอาจารย์”
“เช่นนี้นี่เอง” อี้เจียงจดจำคำพูดของกงซีอู๋อย่างตั้งใจ คิดแล้วก็อดละอายใจเล็กน้อยไม่ได้ “เรื่องวันนี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้า ทำให้ศิษย์พี่ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”
กงซีอู๋ส่ายหน้า “ที่เซ่าจิวเข้ามาเป็นบัณฑิตมีชื่อกลวงๆ อยู่ในสำนักศึกษาจี้ซย่า เป็นเพราะนางหมายหัวข้าอยู่แล้ว อีกอย่างกลไกนี้แค่เตรียมอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน ตอนนั้นนางยังไม่รู้จักเจ้า ที่ถูกคือต้องบอกว่าข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนต่างหาก”
อี้เจียงเม้มปากมองไปยังฝั่งตรงข้าม “ตอนนี้พวกเราจะกลับไปอย่างไร”
“ข้าสั่งการคนของข้าไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะมารับ” ชายหนุ่มชี้ไปทางตะวันออก “ข้าจะไปทางนั้น เจ้าไปทางตะวันตก ถ้าเจอทหารแคว้นฉีก็ให้พามาพบกันตรงนี้”
มีอำนาจนี่ดีจริงนะ อี้เจียงแอบคิดในใจ ก่อนหมุนตัวเดินไปทางตะวันตก