ทางตะวันตกตลิ่งค่อนข้างสูง แม่น้ำกว้าง ทว่าต้นไม้ใบหญ้าไม่แน่นหนาเท่าไรนัก แสงอัสดงสะท้อนบนผิวน้ำ นกบินโฉบผ่านตัดแสงสีเงินให้แตกออกเป็นริ้ว
เดินอยู่นานก็ได้เจอคนจริงๆ อี้เจียงถลกชายเสื้อคลุมวิ่งเข้าไปหา ก่อนจะพบว่าคนตรงหน้าเป็นชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่งกับชายวัยกลางคนสวมชุดสีน้ำเงินอมดำอีกคนหนึ่ง
ทั้งคู่นั่งหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ หันหลังให้นาง เสียงพูดคุยลอยมาให้ได้ยิน บางครั้งก็เนิบนาบแผ่วเบา บางครั้งก็เคร่งเครียดเหมือนถกอะไรกันอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้า ทั้งสองก็หันมาพร้อมกันแล้วหยุดสายตาอยู่บนร่างของอี้เจียง
นางรู้สึกคุ้นหน้าชายชราอย่างบอกไม่ถูก คิดอยู่สักพักก็นึกออก ที่แท้ก็เป็นบัณฑิตสูงวัยที่ยกธรรมชาติของธาตุทั้งห้ามาเกลี้ยกล่อมเถียนตันในสำนักศึกษาจี้ซย่าวันนั้น
เห็นได้ชัดว่าชายชราก็จำอี้เจียงได้เช่นกัน เขาลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยว่า “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อแห่งสำนักกุ่ยกู่ไม่ใช่หรือ”
อี้เจียงรีบประสานมือคำนับ เห็นคราบดินที่อยู่ตามเสื้อตนเองก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย
ร่างอ้อนแอ้นของเด็กสาวในอาภรณ์สีขาวเนื้อเบายืนต้านลมอยู่ริมน้ำ ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับบัณฑิตที่แสดงความเห็นในวันนั้น ชายชราลูบเครากล่าวยิ้มๆ “วันนั้นคำพูดของผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กันทีเดียว”
นางค้อมตัวลงซ่อนสีหน้า “กฎห้าธาตุของผู้ทรงภูมิต่างหากที่ช่วยเปิดปัญญาให้ข้า”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะ “คนสำนักกุ่ยกู่ชมหลักปรัชญาสำนักอินหยางเราเช่นนี้ น่าแปลกใจจริงๆ”
ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นบ้าง “สำนักกุ่ยกู่ยังวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดการปกครองบ้านเมืองโดยหลักอกรรมของสำนักเต๋าเราเอาไว้มากเช่นกัน”
อี้เจียงเพิ่งรู้ว่าคนผู้นี้มาจากสำนักเต๋า
เห็นว่าพวกบัณฑิตมักจะมีนิสัยแปลกๆ สองคนตรงหน้านี้ก็เช่นกัน พวกเขาหันไปถกเถียงพูดคุยกันต่อโดยไม่สนใจว่านางอยู่ด้วยหรือไม่
อี้เจียงตั้งใจจะเดินต่อเพราะไม่อยากรบกวน แต่พลันได้ยินพวกเขาพูดกันเรื่องอัศจรรย์พันลึกเข้าเสียก่อน ทั้งวิถีดาวหกสิบสี่ทิศ ทั้งธรรมชาติ และผีสางเทวดา มีแต่ศัพท์ประหลาดๆ ฟังดูเร้นลับ นางจึงอดจะชะงักเท้าอีกครั้งไม่ได้
เท่าที่จำได้ ทั้งสำนักอินหยางและสำนักเต๋าล้วนมีแนวคิดเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนนี้คนที่มีความรู้เกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวอย่างละเอียดลึกซึ้งจากทั้งสองสำนักอยู่ตรงหน้า นี่เป็นเพราะสวรรค์มอบโอกาสมาให้นางแล้วใช่หรือไม่
ความคิดที่ไม่กล้านึกถึงตลอดช่วงที่ผ่านมาวิ่งวนในสมองอี้เจียงอย่างบ้าคลั่ง นางก้าวไปข้างหน้าอย่างอดใจไม่ไหว “ไม่ทราบว่าข้าจะขอคำชี้แนะจากทั้งสองท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
แม้สำนักกุ่ยกู่เพิ่งถูกล้อเลียนไปเมื่อครู่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์นาง ต่างพักเรื่องที่ถกเถียงกันไว้ชั่วคราวแล้วพยักหน้าให้ยิ้มๆ
เสียงของอี้เจียงสั่นนิดๆ “สมมติ…ข้าแค่สมมติเฉยๆ สมมติว่าอยู่ดีๆ มดตัวหนึ่งก็ข้ามมิติเวลาไปอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ทั้งสองท่านคิดว่ามาจากสาเหตุอะไร”
ชายชรากับชายวัยกลางคนเผยสีหน้างุนงง ต่างหันไปมองหน้ากัน จากนั้นก็ส่ายหน้า
บัณฑิตสำนักอินหยางกล่าวว่า “ธรรมชาติดำเนินไปตามวิถี ธาตุทั้งห้าตอบสนองซึ่งกันและกัน สรรพสิ่งและดวงดาวโคจรไปตามวัฏจักร การจะข้ามมิติเวลานั้นเป็นไปไม่ได้”
บัณฑิตสำนักเต๋าพูดขึ้นมา “เต๋ากล่าวว่าจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว เคลื่อนไหวตามกาล สอดคล้องกลมกลืนกับสรรพสิ่ง ไร้ซึ่งรูปร่าง แล้วจะมีปัจจุบันกับอนาคตได้อย่างไร”
อย่างเดียวที่อี้เจียงฟังรู้เรื่องคือพวกเขาไม่เชื่อว่าเรื่องที่นางพูดมีอยู่จริง
อี้เจียงอุตส่าห์เตรียมใจรอฟังเหตุผลแปลกประหลาดทุกรูปแบบ ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะไม่เชื่อเลยสักนิด ถ้าแม้แต่พวกเขายังไม่เชื่อ จะมีใครที่นี่เข้าใจสิ่งที่นางประสบพบเจออีก ยังจะมีใครช่วยนางแก้ปัญหาได้
“ขอบคุณผู้ทรงภูมิทั้งสองท่านมาก” นางก้มหน้าคำนับลาอีกครั้งอย่างหงอยเหงา
“คนสำนักกุ่ยกู่ก็ถามอะไรเช่นนี้เป็นด้วย ประหลาดจริงๆ” บัณฑิตวัยกลางคนส่ายหน้ายิ้มๆ
ชายชราก็มองอี้เจียงที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจเช่นกัน “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมองเรื่องใหญ่ของแผ่นดินได้ละเอียดถ่องแท้ ไฉนถึงได้ดูหดหู่เซื่องซึมกับเรื่องหยุมหยิมที่ไร้ความสำคัญเช่นนี้ได้”
แสงอัสดงเหลือแค่แสงเรื่อเรืองอ่อนๆ ประกายระยิบระยับบนผิวแม่น้ำจือสุ่ยหายไปทีละน้อย อี้เจียงนั่งกอดเข่าอยู่ริมน้ำ ก้มหน้ามองเงาสะท้อนของตนเอง
ใบหน้านี้มิใช่ของนาง ร่างกายก็เช่นกัน
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เพิ่งซื้อมาเปลี่ยนก่อนปีใหม่ หน้าจอถูกนางครูดเป็นรอยชัดเจน นางปวดใจด้วยความเสียดายอยู่นาน ตอนเทศกาลซั่งหยวน* นางแอบจุดประทัดเล่น โดนแม่ด่าแทบแย่ นางกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานนัดกันแต่งตัวประหลาดเข้าไปถ่ายรูปในโรงเรียนเก่า ทำเอาพวกรุ่นน้องหันมามองกันเกรียว พ่อบอกว่านางเรียนจบแล้ว ถือเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ ควรจะหาคนรักสักคนได้เสียที…นี่ต่างหากชีวิตที่นางควรใช้ นี่ต่างหากปัญหาที่นางควรเจอ