ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อี้เจียงก็ไม่กล้านึกถึงชีวิตเมื่อก่อนเพราะกลัวตนเองจะทนไม่ไหว ทั้งที่ดูเหมือนลืม แต่ความจริงแล้วกลับฝังลึกอยู่ในใจ ดูเหมือนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ความจริงยังมีความหวัง จนกระทั่งตอนนี้…
ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นบางๆ นางเอาคางเกยแขนทั้งสองข้าง พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ห้ามน้ำตาไม่อยู่
“ที่แท้ศิษย์น้องก็มาอยู่ตรงนี้เอง”
เสียงของกงซีอู๋พลันดังขึ้น อี้เจียงสะดุ้ง รีบนั่งตัวตรง ปาดน้ำตาออกไปอย่างแนบเนียน ขณะที่ใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินใกล้เข้ามา
“ศิษย์น้องกำลังคิดอะไรอยู่” กงซีอู๋ตลบชายเสื้อคลุมนั่งลงข้างกายอี้เจียง “พูดให้ข้าฟังได้นะ”
นางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
“แต่ก่อนศิษย์น้องมีอะไรก็พูดกับข้าได้ทุกเรื่องนี่”
อี้เจียงอาศัยแสงสุดท้ายของวันหันไปถลึงตาใส่เขา พูดอย่างอ่อนใจ “ข้ากำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก”
“หือ?”
“มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง แต่ละตอนของแม่น้ำเป็นฤดูกาลที่แตกต่างกันออกไป ปลาในแม่น้ำแค่ว่ายไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็จะผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ครบทั้งสี่ฤดู ปลาต้องว่ายไปข้างหน้าเท่านั้น จะว่ายย้อนกลับมาไม่ได้ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด มีปลาตัวหนึ่งว่ายตามกระแสน้ำไปจนถึงฤดูร้อน อยู่ๆ มันก็ย้อนกลับไปห้วงน้ำที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า”
กงซีอู๋นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ถ้ากระแสน้ำไหลเร็วขึ้น ขณะที่ปลาว่ายช้าลง ก็อาจเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้”
อี้เจียงคิดตามอย่างตั้งใจ ก่อนรู้สึกว่ามีเหตุผล หายากตรงที่เขาไม่ได้ด่วนสรุปในทันทีว่าปัญหานี้ไม่มีทางเกิดขึ้น
“จากนั้นปลาตัวนี้ก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ว่าฤดูใบไม้ผลินี้แตกต่างจากฤดูใบไม้ผลิที่มันเคยผ่านมาโดยสิ้นเชิง น้ำในแม่น้ำก็ไม่สบายตัวอย่างที่มันคิด มันควรทำเช่นไรดี”
กงซีอู๋จ้องมองผิวน้ำเหมือนมีปลาตัวนั้นอยู่จริงๆ “ปลายังคงเป็นปลาและยังอยู่ในน้ำเหมือนเดิม ในเมื่อมันไม่เคยกระโดดขึ้นบก แล้วเหตุใดถึงต้องมานั่งใคร่ครวญว่าจะทำเช่นไรดี”
อี้เจียงชะงักก่อนจะหันไปมองเขา เห็นมือใหญ่ยื่นเข้ามาหาตัว
ฝ่ามือที่แห้งเย็นนิดๆ ตบลงมาบนกระหม่อมนาง “โลกนี้กว้างใหญ่ มีเรื่องละเอียดซับซ้อนมากมาย คนธรรมดาจะเก็บมากังวลไปไย”
น่าแปลกที่อี้เจียงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
นางอยู่ที่นี่มีสหายน้อยจนยกนิ้วนับได้ คนที่สามารถปรับทุกข์ระบายความในใจยิ่งไม่มีเลย กับกงซีอู๋คนนี้ นางตั้งใจว่าจะอยู่ห่างๆ อย่างระวังตัวมาโดยตลอด ย่อมนึกไม่ถึงว่าคนที่ยอมตอบคำถามของนางอย่างจริงจังจะเป็นเขา เขาในเวลานี้เป็นแค่ศิษย์พี่ของนาง ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัว
“ค่ำแล้ว ไปกันเถอะ” กงซีอู๋ลุกขึ้นยืน ตอนนี้ดวงจันทร์ลอยขึ้นมาอยู่บนฟ้าแล้ว
ทหารแคว้นฉีถือคบเพลิงยืนอยู่ไกลๆ เรือจอดเทียบฝั่ง หัวเรือมีสาวใช้ยืนถือผ้าคลุมกันลมเตรียมผูกให้กงซีอู๋ แต่เขาโบกมือปฏิเสธ ให้ไปมอบแก่อี้เจียงแทน
นางเพิ่งจะผูกเชือกที่คอเสร็จ ก็ได้ยินกงซีอู๋สั่งคนให้ไปตามจับตัวเซ่าจิว จึงอดเดินเข้าไปถามไม่ได้ “ท่านคิดจะจัดการกับนางอย่างไร”
ชายหนุ่มหันมามอง ใบหน้าคมคายใต้แสงไฟดูเฉยชาเหมือนนางถามเรื่องที่ไม่ควรถาม
เจอคนสูงส่งเยือกเย็นตัวจริงเช่นนี้ อี้เจียงต้องทำตัวสูงส่งเยือกเย็นยิ่งกว่า “ในเมื่อนางถูกคนหลอกใช้ ก็ไม่น่าจะมีโทษถึงตายกระมัง”
กงซีอู๋ปรายตามองดวงจันทร์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนบ่อน้ำเก่าที่ไร้ระลอกคลื่น “จับตัวนางมาให้ได้ก่อนแล้วกัน”