อี้เจียงคิดตาม จริงอย่างที่เขาพูด เซ่าจิวกล้าเล่นงานกงซีอู๋ ย่อมต้องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว นางถอนหายใจอย่างโล่งอก นางไม่ได้เกิดใจดีอะไรขึ้นมาหรอก แค่นึกถึงเผยยวนเท่านั้น
รอบตัวเงียบสงัด มีแต่เสียงไม้พายกระทบผิวน้ำเบาๆ กงซีอู๋สั่งคนพายว่าอย่าให้เรือโคลงมาก แล้วเดินนำอี้เจียงเข้าไปยังห้องภายในเรือ
ห้องด้านในเตรียมสุราอาหารไว้แล้ว ทุกอย่างยังอุ่นอยู่ วันนี้อารมณ์ของอี้เจียงขึ้นๆ ลงๆ ทั้งวัน ทั้งกายทั้งใจเหนื่อยล้าเต็มที หิวจนแทบทนไม่ไหว พอนั่งลงแล้วได้กลิ่นหอมของอาหารก็ต้องรีบยกมือกุมท้องแน่น เพราะกลัวมันจะร้องจ๊อกๆ ให้ขายหน้า
สาวใช้ยกอ่างทองแดงเข้ามา กงซีอู๋ล้างมือแล้วส่งตะเกียบข้ามโต๊ะไปให้อี้เจียงพลางเอ่ยถามเรียบๆ “หนังสือที่ข้าให้ไป ศิษย์น้องอ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” ถามราวกับเป็นอาจารย์ที่กำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ
อี้เจียงตอบเขาแต่ตามองอาหาร “อ่านไปได้เกือบครึ่งแล้ว ศิษย์พี่เขียนขยายความได้ละเอียดยิ่งนัก เป็นประโยชน์ต่อข้าจริงๆ”
“เช่นนั้นก็ดี” กงซีอู๋กล่าว “บันทึกของอาจารย์ม้วนนั้น เจ้าก็ควรให้ข้าเหมือนกันหรือไม่”
“อะไรนะ” ในที่สุดอี้เจียงก็เบนสายตาไปมองเขา แล้วรีบพูดต่อเพราะกลัวจะเผยพิรุธ “ข้าหิวมานาน มัวแต่ห่วงกิน ไม่ทันฟังที่ศิษย์พี่พูด”
กงซีอู๋มองหน้าอี้เจียง “อาจารย์เคยยกบันทึกให้พวกเราคนละม้วน ข้าเอาของข้าให้ศิษย์น้องดูแล้ว ศิษย์น้องก็ควรเอาม้วนของตนเองให้ข้าดูบ้างสิ”
ทีนี้อี้เจียงก็รู้แล้วว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงได้พูดว่า ‘ข้าไม่ได้ให้เปล่าๆ’ นางรีบทบทวนความทรงจำในใจอย่างรวดเร็ว ตอนที่มาถึงที่นี่นางก็อยู่ในคุกแล้ว ไม่เห็นจะมีบันทึกอะไรทั้งนั้น
“ข้าเดินทางอย่างรีบร้อน อาจจะลืมทิ้งไว้ที่แคว้นจ้าว ไว้คราวหน้าข้ากลับไปจะต้องหามาให้ศิษย์พี่แน่นอน”
กงซีอู๋ถือตะเกียบค้าง “บันทึกที่อาจารย์มอบให้ พวกเราควรเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา ไฉนศิษย์น้องถึงได้เลินเล่อเช่นนี้”
“เอ่อ…สงสัยข้าจะจำผิด ประเดี๋ยวข้ากลับไปแล้วจะลองหาดูดีๆ”
กงซีอู๋เม้มปากพยักหน้า
อี้เจียงใจคอไม่ดี เลยได้แต่กินอาหารเข้าไปมากๆ เพื่อระบายความเครียด
ภายในจวนตัวประกันเงียบสงัด
กงซีอู๋ให้คนมาส่งอี้เจียงที่จวน นอกจากข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูก็ไม่มีใครออกมารับนางเลยสักคน นางยืนถอนใจเฮือกอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ บางทีต่อให้นางหายไปจริงๆ อาจไม่มีใครรู้เลยก็ได้
เรือนด้านหน้าไม่ได้จุดตะเกียง ทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้ว อี้เจียงอาศัยแสงจันทร์ก้าวไปตามเฉลียงทางเดินจนถึงเรือน คลำหาตะเกียงมาจุดในความมืดแล้วรื้อค้นตามหีบเพื่อหาสัมภาระของตนเอง
ข้าวของทุกอย่างถูกนำออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนจำนวนหนึ่ง หนังสือมีแค่สองม้วน นอกจากม้วนที่กงซีอู๋ให้มาก็คือม้วนที่เป็นบันทึกประจำวันของตัวนางเอง
ครานี้จะทำเช่นไรดีเล่า หากรู้แต่แรกว่าต้องแลกเปลี่ยนหนังสือกัน ข้าก็ไม่เอาของเขามาหรอก!
ระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มใจอยู่นั้น เสียงคนก็ดังขึ้นด้านนอก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ารีบร้อนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนจะมีคนจำนวนมากแห่เข้ามาในเรือน แสงจากคบเพลิงด้านนอกสว่างไสว ทาบเงาของคนเหล่านั้นลงบนกระดาษปิดบานหน้าต่าง
“ยังหาคนไม่เจออีกหรือ” เสียงของจ้าวจ้งเจียวดังมาจากตรงหน้าลาน
ตันคุยตอบ “ยังขอรับ หาทั้งข้างนอกข้างในหมดแล้วก็ยังไม่พบ”
อี้เจียงค่อยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ที่แท้เมื่อครู่ไม่เจอใครก็เพราะพวกเขาออกไปตามหานางกันหมดนี่เอง นับว่ายังมีน้ำใจกันอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เหลียวแลนางเลย
“นายท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้ากลับมาแล้ว” นางเปิดประตูเรือนพลางสาวเท้ายาวๆ ออกมา
จ้าวจ้งเจียว ตันคุย และพวกข้ารับใช้ที่ถือคบเพลิงต่างหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน
“เซ่าจิวบอกว่าแม่นางออกไปเที่ยวกับผู้ทรงภูมิกงซี ดึกๆ ถึงจะกลับ พวกเรารู้กันหมดแล้ว จึงไม่ได้เป็นห่วง” ตันคุยมีท่าทางงุนงงกับคำพูดของนาง
อี้เจียงเริ่มเอะใจ “อะไรนะ! ทุกคนไม่ได้กำลังตามหาข้าอยู่หรอกหรือ”
จ้าวจ้งเจียวเลิกคิ้ว “ตามหาเจ้าไปด้วยเหตุใดกัน เจ้าก็สบายดีมิใช่หรือ”
อี้เจียงพลันนึกถึงคำแนะนำของกงซีอู๋ที่ให้นางไปจากเจ้านายแล้งน้ำใจเพื่ออนาคตที่ดีกว่าขึ้นมาทันที “เช่นนั้น…พวกท่านกำลังตามหาใครอยู่เล่า”
“เผยยวน” จ้าวจ้งเจียวขมวดคิ้ว “เขาหายไปตั้งแต่บ่ายวันนี้ ตามหาทั้งในเรือนทั้งในเมืองจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบ สุดท้ายเลยต้องเข้ามาดูในเรือนเจ้านี่แหละ”
“…”
ใครหายตัวไปก็ล้วนไม่แปลกทั้งนั้น แต่เผยยวนหายตัวไปสิถึงแปลก
อี้เจียงคิดว่าถ้าเผยยวนผู้นี้มีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน จะต้องเป็นพวกอยู่ติดบ้านชนิดหมื่นปีก็ไม่ยอมออกไปที่ใด แต่ละวันต่อให้ไม่มีอะไรทำก็สามารถอยู่เงียบๆ ในเรือนได้ทั้งวัน ตามหลักแล้วคนที่ไม่ยอมก้าวออกจากบ้านเลยเช่นนี้ สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะหายตัวทิ้งได้เลย