กล่อมเกลาปราชญ์หญิง
ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 4
“ต้องเป็นเซ่าจิวแน่ๆ ที่จับตัวเขาไป” อี้เจียงกัดแผ่นแป้งคำหนึ่ง แล้วมองตันคุยที่ทำหน้าตกตะลึงอยู่ฝั่งตรงข้าม “ข้าก็เล่าไปแล้วมิใช่หรือ ว่าเรื่องมันเป็นเช่นนี้ เจ้าพลาดแล้วที่เชื่อใจนาง”
จากที่อี้เจียงคาดเดา เซ่าจิวน่าจะไหวตัวทันตั้งแต่เดินออกจากกลไกได้ไม่นาน เป็นไปได้ว่าอาจเห็นทหารแคว้นฉีที่กงซีอู๋พามาจึงตัดสินใจถอยทันที ก่อนเกิดความคิดขึ้นมาว่าจะจับตัวเผยยวนไปด้วย
ตันคุยใช้มือดันคางเอาไว้ไม่ให้ตนเองอ้าปากกว้าง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปแบบปุบปับ พูดขึ้นอย่างเป็นกังวล “คุยดูคนไม่เป็น ไว้ใจคนผิด เลยทำให้เผยยวนเดือดร้อน คิดแล้วก็…”
“ดีใจยิ่งยวดใช่หรือไม่” อี้เจียงต่อให้ “ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากให้เผยยวนไปใจจะขาด”
มือกระบี่เลิกเล่นละคร “แม่นางจะกังวลใจไปไย นางเป็นสหายเก่าแก่ของเขา จับตัวเขาไปก็ไม่ทำอะไรเขาหรอก”
อี้เจียงเองก็รู้ว่าเผยยวนจะไม่เป็นอันตราย เห็นได้ชัดว่าเซ่าจิวมีใจให้เขา ไม่มีทางทำอะไรเขาแน่ แต่เป็นไปได้ว่าตัวเซ่าจิวเองก็อยู่ในกำมือของแคว้นฉิน นางจะวางใจยกเผยยวนให้อีกฝ่ายไปได้อย่างไร
เมฆดำทะมึนประดุจน้ำหมึก กลั่นเม็ดฝนเป็นสายสีขาวราวกับไข่มุก อากาศฤดูร้อนแปรปรวนง่าย นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไม่ต่างจากอารมณ์ของทารก
เด็กรับใช้ยกไม้ค้ำบานหน้าต่างออกเพื่อกันไม่ให้ฝนตรงเฉลียงทางเดินสาดเข้ามาในห้อง พอหันไปเห็นว่ากงซีอู๋เดินเข้ามาก็รีบค้อมคำนับ “รายงานท่านเสนาบดี ข่าวความเคลื่อนไหวจากจวนตัวประกันส่งมาถึงแล้วขอรับ”
กงซีอู๋ปรายตามองโต๊ะ จากนั้นก็พยักหน้า เด็กรับใช้เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
ภายในห้องสะอาดเอี่ยมไร้ละอองฝุ่น ผนังสามด้านเต็มไปด้วยหนังสือ ตรงกลางตั้งโต๊ะเตี้ยมีห้อยม่านบัง โคมไฟวางอยู่สองฝั่ง ควันจากกำยานลอยคดเคี้ยวเป็นวง
ชายหนุ่มเกล้ามวย ประดับมงกุฎจื่อจิน คอเสื้อสีดำปักลายบางๆ ด้วยด้ายสีเข้มเป็นรูปต้นซือ ยามก้าวเดินชายเสื้อคลุมจะกระเพื่อมเหมือนคลื่นสีหมึก ขับใบหน้าให้ยิ่งดูขาวเนียน นัยน์ตานิ่งสงบ โต๊ะเคลือบเงาสีดำมีม้วนหนังสือไม้ไผ่วางอยู่สามสี่ม้วน ใส่ไว้ในถุงแพรปักลวดลายประณีต เขานั่งลงหลังโต๊ะ หยิบม้วนหนังสือจากในถุงแพรใบหนึ่งออกมาคลี่อ่าน
ศึกแรกของเถียนตันในแคว้นจ้าวไม่ได้รับชัยชนะ สถานการณ์ไม่สู้ดี ส่วนเว่ยฉีก็หนีกลับแคว้นเว่ย เพื่อใช้เป็นทางผ่านหนีไปยังแคว้นฉู่
เขาขมวดคิ้ววางม้วนหนังสือลง ก่อนหยิบถุงแพรอีกใบขึ้นมา
มีแต่เรื่องหยุมหยิมไร้สาระทั้งนั้น เขาหยิบถุงแพรใบใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงใบที่อยู่ล่างสุด ในนั้นมีม้วนหนังสืออยู่หนึ่งม้วนเต็ม แต่พอคลี่ออกมากลับมีตัวหนังสือเขียนอยู่บนไม้ไผ่แค่ซีกเดียว ชายหนุ่มกวาดตาอ่าน แล้วไม่แสดงความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น
บัณฑิตคนหนึ่งหายตัวไปมิใช่เรื่องใหญ่ เขาต้องการให้คนของตนเองจับตามองทุกความเคลื่อนไหวของหวนเจ๋อคนเดียวพอ
กงซีอู๋ดึงไม้ไผ่ซีกนั้นออกมา ค่อยๆ ใช้มีดสั้นขูดตัวอักษรทิ้ง ปลายนิ้วเรียวยาวกำอยู่รอบด้ามมีด ดวงตาหลุบลง การเคลื่อนไหวเยือกเย็นสง่างาม
“เรียนท่านเสนาบดี ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมาขอพบขอรับ” เสียงอ่อนเยาว์แต่สำรวมของเด็กรับใช้ดังมาจากหน้าประตู
กงซีอู๋ชะงัก แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เชิญนางเข้ามา”
เด็กรับใช้รับคำสั่งแล้วเดินกลับออกไป
อี้เจียงเพิ่งเคยมาจวนเสนาบดีเป็นครั้งแรก ที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงกว่าที่นางคิดไว้มาก แต่ก็วังเวงอ้างว้างเกินไป ตลอดทางที่เดินเข้ามา นางไม่เห็นข้ารับใช้เลยสักคน เทียบกับจวนฉางอันจวินที่แคว้นจ้าวแล้วนับว่าคนละเรื่อง
น้ำฝนไหลลงมาจากหลังคาเฉลียงทางเดินราวกับม่าน อีกฝั่งหนึ่งของลานกลาง กงซีอู๋กำลังมองมาทางนี้จากข้างประตู
วันนี้อี้เจียงเลือกสวมชุดที่ดีที่สุดเพื่อมาที่นี่โดยเฉพาะ เป็นเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าสีขาวบริสุทธิ์ ปักลวดลายตรงคอ เกล้าผมมวยไว้เหนือกระหม่อม ดูสุขุมเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว นางถลกชายเสื้อคลุมย่ำน้ำฝนเข้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ศิษย์พี่ วันนี้ข้าถือวิสาสะมาเยี่ยมเพราะมีเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย”
“เรื่องอะไร”
“ที่จวนตัวประกันมีบัณฑิตสำนักข่งจื่อคนหนึ่งชื่อเผยยวน อยู่ๆ เขาก็หายตัวไป หาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบ ข้าสงสัยว่าเซ่าจิวเป็นคนทำ”
“เจ้าต้องการให้ข้าจับตัวเซ่าจิวโดยเร็ว แล้วพาตัวเผยยวนคนนั้นกลับมา?”
อี้เจียงพยักหน้า
กงซีอู๋นิ่งเงียบ เขามีดวงตาลึกล้ำ รูปตาสวยจับใจราวกับวาดด้วยฝีแปรงชั้นเลิศของช่างวาด นัยน์ตาใสกระจ่าง ริมฝีปากปิดสนิท รูปโฉมหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน แค่ปรายตามองก็ให้ความรู้สึกสูงส่งราวกับไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์
แต่สายตาของเขาทำให้นางกดดัน
“ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ไม่มีหน้าที่ต้องตอบรับคำขอของข้า เพราะระหว่างที่ตามจับตัวนางอาจเกิดเหตุเหนือความคาดหมายมากมาย และไม่รู้ด้วยว่าจะช่วยเผยยวนกลับมาได้หรือไม่”
“ศิษย์น้องรู้ก็ดีแล้ว”
อี้เจียงแอบกัดฟัน “ศิษย์พี่ต้องการอะไรก็ว่ามาได้เลย”
เขาส่ายหน้าน้อยๆ “เกรงว่าศิษย์น้องคงต้องพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว เพราะแม้แต่เจ้าเองก็อาจจะเอาตัวไม่รอด”
อี้เจียงชะงักพร้อมกับเห็นเขาผายมือ “เชิญศิษย์น้องกลับไปเถอะ”
หากมิใช่เพราะไร้อำนาจบารมี ใครจะอยากยอมก้มหัวให้คนอื่น! อี้เจียงหมุนตัวเดินออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ
เพิ่งผ่านไปแค่ครู่เดียว พอเดินออกจากจวนเสนาบดี ฝนก็หยุดแล้ว ทั้งดวงอาทิตย์ยังโผล่มาให้เห็นรำไร
ตันคุยรออยู่ตรงริมทาง พอเห็นอี้เจียงก็หุบร่มแล้วจูงม้าเดินเข้ามาหา แต่ทหารกลุ่มหนึ่งพลันเดินแซงเขาขึ้นมาขวางหน้าอี้เจียงเอาไว้
“ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อใช่หรือไม่” ทหารที่เป็นหัวหน้าเอามือกุมด้ามกระบี่ห้อยเอวพลางก้าวออกมา
อี้เจียงมองซ้ายมองขวาโดยไม่มีท่าทีแตกตื่น
ทหารนายนั้นล้วงม้วนภาพเหมือนในแขนเสื้อออกมาคลี่ดู เท่านี้ก็ได้คำตอบ “พวกเราได้รับพระบัญชาจากพระมเหสีให้ตามจับกุมผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อทั่วเมือง ผู้ทรงภูมิโปรดตามพวกเรามา” เขาโบกมือทีหนึ่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาก็รีบเข้ามาคุมตัวนางไว้ทันที
ตันคุยตกตะลึง พอจะเข้ามาขวางก็ถูกชักดาบวาววับใส่จนต้องถอยหลัง