“ท่านเสนาบดี ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อถูกพระมเหสีทรงจับตัวไปแล้วขอรับ” เด็กรับใช้สาวเท้าเข้ามาในห้องหนังสืออย่างรีบร้อนแล้วกระซิบรายงานข้างหูกงซีอู๋เบาๆ
“อืม” เขาพยักหน้า
หวนเจ๋อแจกแจงผลได้ผลเสียชัดเจนจนแคว้นฉียอมยกทัพ แต่แล้วกลับตกเป็นรองในเชิงศึก พระมเหสีจวินเป็นคนรอบคอบ แม้แคว้นฉีจะเป็นแคว้นใหญ่และไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับแคว้นอื่น แต่เท่าที่ดูตอนนี้ นางคงนึกเสียใจที่มีเรื่องกับแคว้นฉินขึ้นมาแล้ว บางทีนางอาจคิดส่งตัวหวนเจ๋อไปให้แคว้นฉินจัดการ แคว้นฉีจะได้รอดตัวจากเรื่องนี้
“ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อถูกจับกุมตัวหน้าจวนเสนาบดี ท่านเสนาบดี…ไม่ช่วยหรือขอรับ” เด็กรับใช้ถามอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวตนเองจะพูดมากเกินไป
กงซีอู๋ส่ายหน้า “ไม่ช่วย”
“อะไรนะ หวนเจ๋อถูกจับตัวไป?”
จ้าวจ้งเจียวที่เพิ่งตื่นจากนอนกลางวันกำลังนั่งถือจอกชาอยู่ในห้อง พอได้ยินข่าวนี้เขาก็อยากหัวเราะออกมาดังๆ โชคดีที่ยกจอกชาขึ้นมาปิดปากไว้ได้ทันท่วงที
“นายท่านรีบหาวิธีช่วยนางออกมาเถอะขอรับ!” ตันคุยเดินกลับไปกลับมาตรงหน้า ร่างสูงใหญ่กำยำราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ของเขาทาบเงาดำลงบนร่างอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
จ้าวจ้งเจียวกระแอมกระไอแห้งๆ แล้วหลับตาเอามือนวดขมับ “อย่าเพิ่งวิตกไป ขอข้าคิดก่อน”
มือกระบี่พูดขึ้นอย่างร้อนรน “นี่เวลาอะไรแล้ว นายท่านยังต้องคิดอีก? ตามความเห็นของคุย รีบเข้าวังหลวงไปขอเข้าเฝ้าฉีหวังดีกว่า อย่างน้อยจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเป็นเพราะอะไร!”
ฉีหวังป่วยหนักจนพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว งานใหญ่น้อยต่างๆ พระมเหสีจวินเป็นคนจัดการคนเดียว จ้าวจ้งเจียวไม่ค่อยชอบสตรีที่ทำอะไรล้วนรอบคอบระมัดระวังผู้นี้นัก เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา
ตันคุยร้อนใจจนอยากจะกระทืบเท้า “นายท่านลองคิดดูเถอะ ปกติแม่นางตั้งอกตั้งใจทำงานรับใช้ท่านแค่ไหน ท่านจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ หรือ”
จ้าวจ้งเจียวทบทวนความจำ ทว่าเรื่องแรกที่คิดออกคือตอนที่นางถอดเสื้อคลุมเขา มุมปากจึงกระตุกทีหนึ่ง
แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาอยู่แคว้นฉี เรื่องใหญ่น้อยในจวนตัวประกันล้วนได้นางเป็นผู้ออกหน้าจัดการให้ตลอดจริงๆ ไม่รู้ว่านางกับกงซีอู๋มีอดีตระหว่างกันอย่างไร แต่นางรู้จักใช้ความสัมพันธ์นี้ให้เป็นประโยชน์ หลายคนในแคว้นฉีจึงนึกไปว่ากงซีอู๋สนิทสนมกับตัวประกันจากแคว้นจ้าว จึงพลอยดีกับเขาไปด้วย ทำให้เขาไม่โดนดูถูกดูแคลนมากนัก
จ้าวจ้งเจียวลุกขึ้นยืนอย่างจำใจแล้วบอกตันคุย “เจ้าออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าวังหลวง”
ฝ่ายตรงข้ามคำนับเขา แล้วเดินออกไปอย่างพอใจ
วังหลวงแคว้นฉีหรูหราอลังการสมกับเป็นแคว้นใหญ่ ตำหนักที่ประทับของฉีหวังมีต้นเสาและคานไม้แกะสลักประดับประดาอย่างสวยงาม แต่บรรยากาศกลับหดหู่วังเวงเพราะกลิ่นยาที่ลอยคลุ้ง
จ้าวจ้งเจียวสวมชุดเต็มยศและรัดเกล้าสูง เขาฝืนทนเหม็นกลิ่นยาขณะยืนรอเรียกเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอก
เสียงฝีเท้าดังอยู่ในตำหนักไม่ขาดระยะ แต่ไม่มีใครออกมาเชิญจ้าวจ้งเจียวเข้าไป เขารอจนเริ่มหมดความอดทน เดินกลับไปกลับมาตรงหน้าประตูอยู่นานก็ตัดสินใจถลกชายเสื้อคลุมจะเดินเข้าตำหนักเอง แต่ร่างของใครคนหนึ่งพลันเข้ามาขวางหน้าเอาไว้
“อะไรกัน ตัวประกันจะบุกรุกตำหนักบรรทมเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ” ฝ่ายตรงข้ามสวมรัดเกล้าหยกและอาภรณ์หรูหรา ท่าทางดูเย่อหยิ่งทะนงตน
จ้าวจ้งเจียวไม่คิดว่าวันนี้คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้ฉีหวังจะเป็นรัชทายาทเจี้ยน ท่าทีที่แสดงต่อเขาก็แปลกประหลาดยิ่งนัก รัชทายาทเจี้ยนเป็นคนหน้าตาดี อุปนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่เคยพูดจาแรงๆ ใส่เขามาก่อน อยู่ดีๆ ก็พูดประโยคนี้ออกมา ทำเขาตั้งตัวไม่ติดทีเดียว
รัชทายาทเจี้ยนมองซ้ายมองขวา ก่อนคว้ามือจ้าวจ้งเจียวลากออกมาให้พ้นจากประตูตำหนัก กระซิบเบาๆ “ฉางอันจวินอย่าได้ถือสา เมื่อครู่ข้าจงใจพูดให้เสด็จแม่ได้ยิน เสด็จแม่ทรงสั่งไว้แต่แรกว่าห้ามไม่ให้เจ้าเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
จ้าวจ้งเจียวได้ฟังก็เข้าใจ “หวนเจ๋อทำผิดร้ายแรงอะไรกันแน่ ถึงกับไม่ยอมให้ข้าช่วยพูด?”
รัชทายาทเจี้ยนหัวเราะ ก่อนจะเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังโดยละเอียด โดยไม่ลืมที่จะกล่าวเสริมว่า “เถียนตันเชี่ยวชาญการรบ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแคว้นจ้าวมากเกินไปหรอก”
เท่ากับว่าหวนเจ๋อโน้มน้าวให้เถียนตันยกทัพสำเร็จ ถึงได้เจอเคราะห์ร้ายแบบไม่คาดคิด จ้าวจ้งเจียวกัดริมฝีปาก ยังคิดหาทางออกไม่เจอ ได้แต่บอกว่า “เช่นนั้นรัชทายาทช่วยผ่อนผันไม่ให้นางต้องลำบากอยู่ในคุกมากเกินไปนักได้หรือไม่”
ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้าหงึกๆ ด้วยแววตาเอื้ออารี “หายากที่จ้งเจียวจะสงสารเห็นใจสตรีผู้หนึ่งเช่นนี้ วางใจเถอะ”
จ้าวจ้งเจียวเอ่ยขอบคุณอย่างใจลอย เดินออกมาสามสี่ก้าวถึงเพิ่งรู้ตัว รีบหันกลับไปอธิบาย “นางเป็นแค่เหมินเค่อคนหนึ่งของข้าเท่านั้น”
แต่รัชทายาทเจี้ยนเดินจากไปไกลแล้ว