ภายในเวลาไม่ถึงปีติดคุกไปสองครั้ง อี้เจียงรู้สึกว่าตนช่างมีโชคทางด้านนี้เหลือเกิน
คุกแคว้นฉียังใจดี ไม่ได้จับนางแยกขังเดี่ยว ดังนั้นนางจึงได้ฟังบุรุษห้องข้างๆ ร้องเพลงมาทั้งวันแล้ว
อี้เจียงปัดเศษหญ้าแห้งบนพื้นออกไป พยายามให้ชุดสีขาวที่สวมอยู่สกปรกน้อยที่สุด จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้ห้องเขา “คอไม่แห้งหรือ”
“หือ?” ฝ่ายตรงข้ามหันมามอง เขาแต่งตัวค่อนข้างดี ดูก็รู้ว่าชุดตัดเย็บจากเนื้อผ้าราคาแพง น่าเสียดายที่มีเศษหญ้าแห้งติดตัวเต็มไปหมด กระทั่งบนหัวยังมีหญ้าแห้งต้นหนึ่งปักอยู่ในมวยผมของเขา ดูโดดเด่นสะดุดตาราวกับเป็นผมเส้นเดียวที่ตั้งขึ้นมาชี้ต้านลม
“เจ้าพูดกับข้าหรือ”
อี้เจียงกำลังหงุดหงิด จึงถามกลับไปเสียงขุ่น “เจ้าร้องเพลงมาทั้งวันแล้ว ไม่ต้องพักบ้างหรือ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินเข้ามาหาอี้เจียงสามสี่ก้าว ก่อนจะนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าอยากพูดอะไร ข้าไม่ร้องแล้วก็ได้”
เขาคิ้วเข้ม ตาโต หน้าตาสะอาดสะอ้าน แววตาสดใส อี้เจียงมองแล้วไม่อยากถือสาเลยโบกมือให้ “ช่างเถอะ พอดีข้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้ารอให้ข้าคิดเสร็จก่อนค่อยร้องต่อแล้วกัน”
“แล้วเมื่อไรเจ้าถึงจะคิดเสร็จเล่า”
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ชายหนุ่มกวาดตามองนาง “เจ้าเป็นเด็กสาวอายุแค่นี้ ไฉนจึงเข้ามาอยู่ในคุกหลวงแคว้นฉีได้”
อี้เจียงกำลังกลัดกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่พอดี นางขี้เกียจปกปิดความรู้สึก จึงย้อนถามไปว่า “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดถึงได้ติดคุก”
เขาเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง มืออีกข้างวางอยู่บนหัวเข่า “อย่าไปพูดถึงมันเลย ข้าเป็นคหบดีแคว้นเว่ย มาทำการค้าในแคว้นฉี ปรากฏว่าถูกจับโทษฐานเป็นสายลับเสียได้”
หากอี้เจียงฟังไม่ผิด เมื่อครู่เขาร้องว่า ‘เฝ้ารอคอยคนงามยังไม่มา ข้าโศกาครวญเพลงในสายลม’ เผยยวนก็เคยร้องเพลงนี้ เป็นบทกลอนของกวีชวีหยวน ถ้าคนผู้นี้เป็นพ่อค้า ก็ต้องเป็นพ่อค้าที่มีความรู้พอตัว
อี้เจียงบันทึกเรื่องนี้ไว้ในใจ จากนั้นเม้มปากกล่าวว่า “ข้าก็คล้ายๆ เจ้า ไปมีเรื่องกับเชื้อพระวงศ์แคว้นฉีเข้าเหมือนกัน”
ชายหนุ่มทำท่าเจ็บปวด “เจ้าเพิ่งจะอายุแค่นี้เอง คนพวกนั้นไร้มโนธรรมจริงๆ!” พูดพลางนั่งหลังตรง ปัดเศษหญ้าออกจากตัวแล้วประสานมือคำนับ “ผู้น้อยจี้อู๋ ไม่ทราบแม่นางมีนามว่าอะไร”
แน่นอนว่าอี้เจียงไม่ยอมเปิดเผยตัวอยู่แล้ว นางตอบกลับไปอย่างสุภาพ “ผู้น้อยอี้เจียง”
จี้อู๋กล่าว “พวกเราเป็นคนหัวอกเดียวกัน เสียดายที่ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ครอบครัวข้าวิ่งเต้นใช้เงินก้อนโตมาเอาตัวข้าออกไปแล้ว อย่างช้าที่สุดคืนนี้ข้าก็จะได้ออกจากคุก”
“มิน่าเจ้าถึงได้ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี” รอยยิ้มของอี้เจียงดูฝืดฝืนนิดๆ
นางเองก็พอเดาได้ว่าเหตุใดตนถึงได้ถูกจับตัวเข้าคุก คงเพราะเรื่องเถียนตันยกทัพไปช่วยแคว้นจ้าวนั่นกระมัง แต่นางไม่มีทางได้ออกไปง่ายๆ อย่างเขา เพราะครั้งนี้คนที่จับนางไม่ใช่เซ่าจิว แต่เป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นฉี ดีไม่ดีนางอาจตายอยู่ที่นี่ก็ได้
อี้เจียงนั่งชันเข่าพลางกัดริมฝีปากแน่น
จี้อู๋เอาแต่นั่งเท้าคางจ้องหน้าอี้เจียงไม่หยุด ด้วยคิดว่าเด็กสาวผิวขาวราวกับหิมะ ท่าทางสะอาดสะอ้าน ดูผอมบางจนน่าสงสาร แววตาของเขาจึงนุ่มนวลขึ้น จากนั้นก็เข้ามาเกาะลูกกรงห้องขัง “ถ้าแม่นางอี้เจียงอยากพูดอะไรกับคนในครอบครัว ฝากข้านำไปบอกพวกเขาได้นะ การค้าของข้าครอบคลุมทั้งหกแคว้นทางฝั่งตะวันออกของเขาเสียวซาน แม้แต่แคว้นฉินซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตก ข้าก็เคยไปมาแล้ว ข้าจะต้องนำคำพูดของเจ้าไปบอกต่อได้แน่นอน”
“ช่างมันเถอะ” อี้เจียงส่ายหน้า คราวนี้ใครก็ช่วยนางไม่ได้ทั้งนั้น
เสียงผู้คุมลากโซ่เหล็กดังขึ้นในคุก จากนั้นก็โยนลงพื้นดังเคร้ง ทำอี้เจียงสะดุ้งสุดตัว
จี้อู๋เห็นเช่นนั้นก็รีบปลอบ “แม่นางไม่ต้องกลัว ใต้หล้านี้เต็มไปด้วยจุดพลิกผัน เจ้าจะต้องถูกปล่อยตัวออกไปแน่”
อี้เจียงที่ยังขวัญหนีดีฝ่อหันไปมองเขา
จุดพลิกผัน? ยังจะมีจุดพลิกผันอะไรอีก