ช่วงตะวันลับฟ้า เสียงฝีเท้าร้อนรนก็ดังขึ้น หัวหน้าผู้คุมคุกนำผู้คุมจำนวนหนึ่งเดินลิ่วๆ มาที่หน้าประตูห้องขัง อี้เจียงถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว พอพบว่าฝ่ายตรงข้ามเปิดประตูห้องของจี้อู๋ จากที่กลั้นหายใจอยู่ นางก็ถอนหายใจโล่งอก
“เห็นทีข้าคงต้องออกไปก่อนแล้ว” จี้อู๋ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เหลือบมองอี้เจียงก่อนจะเดินออกจากห้องขังยิ้มๆ เขาในตอนนี้ย่างก้าวด้วยฝีเท้ามั่นคง ยืดอกผึ่งผาย ท่วงท่าสง่างาม แตกต่างจากคนที่ร้องเพลงอยู่ในห้องขังเป็นคนละคน
จี้อู๋เพิ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว หัวหน้าผู้คุมก็เปิดประตูห้องขังของอี้เจียง
“คุมตัวไป” ผู้คุมสองคนรับคำสั่ง เดินเข้ามาลากตัวอี้เจียงราวกับลากซากสัตว์เปื่อยเน่าซากหนึ่ง
อี้เจียงตกใจยิ่งยวด ผู้คุมทั้งสองคุมตัวนางอย่างแน่นหนาจนขาทั้งสองข้างของนางไม่มีแรงแม้แต่นิดเดียว ได้แต่ถูกคนเขาลากไปตลอดทาง จนไล่ตามจี้อู๋ที่กำลังจะออกจากคุกทัน
จี้อู๋หันมามองเมื่อได้ยินเสียงข้างหลังและมีท่าทางประหลาดใจอย่างมาก
อี้เจียงอาศัยจังหวะที่ถูกลากผ่านชายหนุ่มไปคว้าแขนเสื้อเขาไว้ รีบละล่ำละลักบอกโดยไม่สนใจท่าทางยื้อยุดของพวกผู้คุม “ข้าฝากคำพูดไปบอกกงซีอู๋ที่เป็นเสนาบดีแคว้นฉีที ว่าคนที่อยู่ในคุกขอให้เขาไปเอาหนังสือม้วนหนึ่งจากจวนตัวประกันแคว้นจ้าว จำไว้ให้ดี!”
จี้อู๋มองอี้เจียงถูกลากตัวออกจากคุก เขารีบเดินตามไปรับปาก “แม่นางวางใจได้ ไว้เป็นธุระข้าเอง!”
ม้าร้องเบาๆ รถแล่นเสียงดังกุกกัก ล้อเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูจวนตัวประกัน
เด็กรับใช้กระโดดลงจากรถมาวางแท่นเหยียบลงบนพื้น กงซีอู๋ก้าวออกมาแล้วเดินเข้าไปในจวนตัวประกันโดยไม่หยุดเท้า
นับตั้งแต่แยกกันที่จุดพักม้าครานั้น จ้าวจ้งเจียวเพิ่งได้เจอกงซีอู๋เป็นครั้งที่สอง แต่เดิมก็ไม่ชอบหน้าเท่าไรนักอยู่แล้ว พอเห็นกงซีอู๋บุกรุกเข้ามาในที่พักของตน ความไม่พอใจก็ยิ่งเพิ่มพูน
เขายืนอยู่ตรงหน้าบันได ยังไม่ทันได้ขึ้นเสียงตำหนิ ฝ่ายตรงข้ามก็พูดขึ้นเสียก่อน “ข้ารับบัญชาพระมเหสีมาค้นเรือนหวนเจ๋อ”
แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องค้นเรือน แต่มีกองทหารฉีท่าทางขึงขังอยู่ตรงหน้า จ้าวจ้งเจียวจะทำอะไรได้อีก
กงซีอู๋เข้าไปในเรือนอี้เจียงตามลำพัง ยืนนิ่งอยู่กลางห้องสักพักก็ค้นม้วนหนังสือไม้ไผ่สองม้วนได้จากห่อสัมภาระตรงด้านในของเตียง
ม้วนหนึ่งเป็นของเขาเอง ไม่จำเป็นต้องอ่านละเอียด เขาหยิบอีกม้วนขึ้นมาคลี่ออกอ่านอยู่นาน คิ้วเริ่มขมวดแน่นขึ้นทีละนิด
ท่ามกลางยามวิกาลอันเงียบสงัด อี้เจียงที่นอนหลับไม่สนิทนักสะดุ้งตื่น พอลืมตาขึ้นมาก็พบกับแสงไฟสว่างจ้า นางนึกว่าตนเองจะถูกกำจัดทิ้ง จึงพยายามถอยหนีไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ ถึงพบว่าตนอยู่ในรถขนนักโทษแคบๆ ไม่มีพื้นที่ให้หนีไปที่ใดได้
ผู้คุมลากอี้เจียงลงจากรถแล้วคุมตัวกลับมาคุกใหญ่ ในที่สุดดวงตานางก็เริ่มคุ้นกับแสงไฟ จึงค่อยเห็นกงซีอู๋ยืนก้มหน้ามองนางอยู่ในห้องขัง
นางนั่งตัวตรง พยายามระงับความหวาดหวั่นในใจ “ศิษย์พี่มาเสียที เป็นเช่นไร เห็นหนังสือของข้าหรือไม่”
ชายหนุ่มล้วงหนังสือไม้ไผ่ม้วนนั้นออกจากแขนเสื้อ อี้เจียงผวาเข้าไปแย่งเขาก็ไม่ห้าม
“ข้ารู้ว่าศิษย์พี่รู้เรื่องของข้าดี ข้ามีบันทึกที่อาจารย์มอบให้อยู่ในมือหรือไม่นั้นไม่สำคัญหรอก เพราะสิ่งที่ท่านต้องการแต่แรกคือม้วนหนังสือที่ข้าพกติดตัวทุกวันม้วนนี้ต่างหาก”
ฝ่ายตรงข้ามไม่ปฏิเสธ
นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ว่าอย่างไร ขอเพียงศิษย์พี่ช่วยข้าออกไป ข้าก็จะบอกให้ท่านรู้ว่าในนี้เขียนอะไรไว้บ้าง ศิษย์พี่ก็อ่านเองแล้วนี่ แผ่นดินนี้นอกจากข้า ก็ไม่มีใครอ่านข้อความที่เขียนอยู่บนนี้ออกอีก”
นัยน์ตาของกงซีอู๋ไหวระริก สะท้อนแสงไฟวาววาม ดูเปี่ยมเสน่ห์สะกดใจ “ก็ได้”
อี้เจียงพยายามระงับความรู้สึกพลุ่งพล่านในอก ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกส่งตัวไปยังที่ที่ไม่รู้ชื่อแล้ว
“แต่ข้ายังมีข้อแม้”
“เชิญศิษย์พี่ว่ามาได้”
“เมื่อข้าช่วยเจ้าออกไปแล้ว เจ้าต้องเป็นขุนนางแคว้นฉี” เสียงของเขาเรียบเรื่อยเหมือนสายลมยามราตรีที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง “ชั่วชีวิต”
อี้เจียงดีดลูกคิดในใจอย่างรวดเร็ว เหลือบตามองผู้คุมยืนถือคบไฟอยู่นอกห้องขัง จากนั้นก็หันกลับมามองหน้ากงซีอู๋แล้วลุกขึ้นมาโน้มร่างประชิดเขา กระซิบถามเบาๆ “ศิษย์พี่ยื่นเงื่อนไขเช่นนี้ ไม่กลัวว่าความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่านจะปะทุขึ้นมาใหม่หรือ”
กลิ่นกำยานที่ติดอยู่บนร่างเขาลอยเข้าจมูก ขนาดนางแสร้งทำตัวเยือกเย็นยังหน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่
กงซีอู๋ก้มหน้าลงจ้องตานาง “นี่คือเงื่อนไขของข้า หากศิษย์น้องไม่ตอบรับ ก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน”
อี้เจียงเชิดหน้า นางอ่านสายตาเขาจนปวดคอก็ยังไม่เห็นเขาจะมีท่าทียกเลิกเงื่อนไข จึงได้แต่พยักหน้า “ได้ ตกลงตามนี้”
โปรดติดตามตอนต่อไป