อู่หลิงหวังคือปู่ของจ้าวหวังคนปัจจุบัน เป็นผู้ริเริ่มการสวมชุดรัดกุมแบบชาวหู ใช้ธนูรบบนหลังม้า เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำศึกครั้งใหญ่จนสามารถกลืนแคว้นจงซาน สยบแคว้นซานหู สร้างแนวกำแพงแคว้นจ้าว มีคุณูปการอันใหญ่หลวง ทว่าการให้แต่งกายแบบชาวหูขี่ม้าและยิงธนูออกรบ ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้ชนชั้นสูงรุ่นเก่า จึงถูกจับไปขังไว้ที่วังซาชิวจนหิวตาย สิ่งที่อู่หลิงหวังทำนั้น บางคนมองว่าผิดจารีต ขณะที่บางคนก็มองว่าเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่
ท่านชายหมิงกล้าพูดจาเช่นนี้กับพระพันปีจ้าว เห็นได้ชัดว่าต้องการข่มขู่ ควรอยู่หรอกที่พระพันปีจ้าวกับจ้าวหวังตันจะโมโหเพียงนั้น
พระพันปีจ้าวเม้มปากแน่น มือขวาที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นน้อยๆ นานทีเดียวถึงจะคุมอารมณ์ได้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน หาทางช่วยผิงหยวนจวินกลับมาให้ได้ก่อนดีกว่า”
เมื่อมีประเด็นมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ขุนนางทั้งหลายต่างพากันเห็นพ้อง
“แม้แคว้นฉินจะถอยทัพไปแล้ว แต่ก็ยังส่งราชสาส์นมาว่าจะยอมปล่อยตัวผิงหยวนจวินก็ต่อเมื่อได้หัวของเว่ยฉี แคว้นเว่ยไม่อยากให้หัวกับตัวของเว่ยฉีแยกกันอยู่คนละที่ เรื่องนี้จึงเป็นไปได้ยาก ใต้เท้าท่านใดยินดีเป็นทูตไปแคว้นเว่ยเพื่อขอหัวเว่ยฉีบ้าง”
ขุนนางทุกคนเอาแต่เงียบ
ชู่หลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า “ท่านอำมาตย์ลิ่นเซียงหรูมีทั้งสติปัญญาและความองอาจกล้าหาญ สามารถรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีจ้าวปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ท่านอำมาตย์เพิ่งลาป่วยไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ให้เขาพักรักษาตัวอย่างสบายใจเถอะ” นางเหลือบตามองอี้เจียงคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “ถ้าอย่างไรให้หวนเจ๋อเป็นทูตไปแคว้นเว่ยแล้วกัน แคว้นอื่นจะได้เห็นว่าแคว้นจ้าวเรายังมีคนเก่งอยู่”
เสื้อผ้าของท่านชายหมิงที่หมอบอยู่บนพื้นเสียดสีกันเบาๆ คาดว่าคงกำลังโมโหจนตัวสั่น
อี้เจียงรู้สึกพูดไม่ออก พระพันปีจ้าวดูใจเย็นเหมือนกำลังพูดว่าอาหารเย็นวันนี้มีกับข้าวอะไรกิน คิดบ้างสิว่าให้เด็กสาวเช่นนางไปทำเรื่องสยดสยองน่ากลัวพรรค์นี้จะเป็นการสร้างรอยแผลในใจนางเพียงใด!
พระพันปีสุขภาพอ่อนแอ นั่งนานๆ ไม่ได้ จึงสั่งให้นางกำนัลเข้ามาช่วยประคองซ้ายขวา ลุกขึ้นช้าๆ พลางเอ่ยว่า “ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ผู้ทรงภูมิออกเดินทางให้เร็วที่สุดแล้วกัน”
อี้เจียงรับคำเสียงอ่อน อีกฝ่ายคงอยากให้นางได้สร้างผลงาน ขุนนางคนอื่นจะได้ไม่กล้าพูดอะไรอีก เช่นนี้เหมือนเอาเปรียบกันชัดๆ ทองที่ได้มายังจับไม่ทันอุ่นเลย!
พออี้เจียงกลับถึงที่พัก เล่าเรื่องนี้ให้ตันคุยฟัง ชายหนุ่มก็ประหลาดใจอย่างมาก
“ไม่เหมาะกระมังแม่นาง คนเขากำลังจัดงานศพอยู่ ท่านจะไปเอาหัวของศพมา เกรงว่าแม้แต่ภูตผีวิญญาณคงพากันสาปแช่งท่าน”
อี้เจียงรู้สึกว่าคราวนี้ตันคุยจับประเด็นสำคัญได้ตรงใจนางยิ่ง
อืม…เรื่องไร้มโนธรรมร้ายแรงเช่นนี้ ข้าแบกรับคนเดียวไม่ไหวหรอก ต้องหาใครสักคนมารับบาปแทน
อี้เจียงใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาคนมาเป็นตัวแทน นางหมายตาเอาไว้หลายคน ทว่ายังไม่รู้จักขุนนางในราชสำนักแคว้นจ้าวดีพอ คิดไปคิดมาก็เหลือแค่ลิ่นเซียงหรู ในเมื่อเขาเอาหยกเหอซื่อกลับมาได้* แค่หัวศพก็ไม่น่าเป็นปัญหา
นางหยิบม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกมา เกาะโต๊ะเค้นความคิดอยู่สักพักก็จรดปลายพู่กันเขียนความเห็นลงไป เตรียมนำขึ้นถวายพระพันปีจ้าว แต่เขียนเสร็จแล้วลองอ่านดูก็รู้สึกว่าการใช้คำยังไม่ดีเท่าไร จึงโยนม้วนหนังสือทิ้ง แล้วเข้าวังหลวงไปรบกวนเวลานอนของพระพันปีทันทีในคืนนั้นแทน
พระพันปีจ้าวเข้านอนแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้โมโห กลับนั่งฟังนางอย่างใจเย็น ไม่มีทีท่าว่าจะสัปหงก
เนื่องจากมีเรื่องจะขอร้อง อี้เจียงจึงประจบประแจงอย่างเต็มที่ เข้าไปนั่งตรงหน้าตั่ง บีบนวดน่องให้พระพันปีพลางเอ่ยว่า “พระพันปีเพคะ รับตัวผิงหยวนจวินกลับมาสำคัญก็จริง แต่ฉางอันจวินที่เป็นโอรสรักของพระองค์ก็สำคัญเช่นกัน ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวในแคว้นฉี ไร้ที่พึ่งพิง ถ้าอย่างไรหม่อมฉันไปรับฉางอันจวินกลับมา แล้วพระพันปีทรงแต่งตั้งคนอื่นเป็นทูตไปแคว้นเว่ยดีหรือไม่เพคะ ลิ่นเซียงหรูไหวพริบเลิศล้ำ ต้องรับหน้าที่นี้ได้แน่ พอหม่อมฉันรับฉางอันจวินมาจากแคว้นฉีแล้ว จะรีบตามไปช่วยเขาที่แคว้นเว่ย ไม่ทราบว่าทรงเห็นเป็นเช่นไร”
ความจริงไปแคว้นฉีแล้วเจอกงซีอู๋ก็น่ากลัวมากเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีกว่าต้องไปสัมผัสหัวศพด้วยมือตนเอง อีกอย่างกว่านางจะรับฉางอันจวินกลับมา ทางลิ่นเซียงหรูก็คงส่งหัวของเว่ยฉีไปถึงมือแคว้นฉินเรียบร้อยแล้ว
พระพันปีลูบหัวอี้เจียงอย่างอ่อนโยนแล้วปฏิเสธ “ในเมื่อสานสัมพันธ์กันแล้ว จ้งเจียวก็ไม่เป็นอะไรหรอก เรื่องของเขาเอาไว้ทีหลังก็ได้ อีกอย่างผิงหยวนจวินเป็นถึงมหาอำมาตย์ ไม่ควรอยู่ห่างแคว้นนาน”
อี้เจียงอับจนด้วยคำพูด ได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วขอตัวกลับ พอใกล้จะเดินออกจากตำหนัก ปลายเท้าก็พลันเปลี่ยนทิศทาง วิ่งไปหาจ้าวหวังตันแทน