กล่อมเกลาปราชญ์หญิง
ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 5
จ้าวหวังตันผู้ขยันขันแข็งกำลังอ่านศาสตร์การปกครองอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ยังไม่เข้านอน พอได้ยินว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อขอพบก็รู้สึกประหลาดใจ รีบเชิญนางเข้ามาในตำหนักทันที
อี้เจียงรู้ว่าจ้าวหวังตันไม่ชอบผิงหยวนจวิน มิเช่นนั้นผิงหยวนจวินคงไม่ส่งนางเข้าไปแฝงตัวอยู่ข้างกายจ้าวจ้งเจียวหรอก
นางคุกเข่าคำนับเขาแบบหน้าผากจรดพื้นภายใต้แสงเทียนวับแวม เตือนความจำเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกันดูคล้ายไม่มีเจตนา จากนั้นก็บอกอย่างจริงใจ “ต้าหวังกับฉางอันจวินเป็นพี่น้องที่รักกันมาก หวนเจ๋อยินดีไปรับฉางอันจวินที่แคว้นฉี”
จ้าวหวังตันเงียบอยู่นาน นานจนอี้เจียงนึกว่าเขาจะตอบตกลง ปรากฏว่าเขากลับส่ายหน้า “เรื่องนี้เสด็จแม่ทรงตัดสินพระทัยแล้ว หากเปลี่ยนแปลงคงไม่ดี”
อี้เจียงลืมไปว่าเขายังไม่ได้ครองราชย์อย่างเป็นทางการ อำนาจทางการปกครองอยู่ในมือพระพันปี ตัวเขาไม่มีสิทธิ์มีเสียง
เห็นทีครั้งนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว…
แคว้นเว่ยใกล้นิดเดียว ออกจากหานตันไม่ไกลคือเมืองเยี่ย ถึงเมืองเยี่ยก็เท่ากับเข้าเขตแคว้นเว่ย ทั้งสองเมืองนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวัน จากเมืองเยี่ยเดินทางต่อร่วมครึ่งเดือนก็จะถึงต้าเหลียง
โชคดีที่อากาศเย็นสบาย ดวงอาทิตย์ไม่โผล่หน้า ทั้งยังมีลมเย็นพัดโชย แต่ที่แย่คืออารมณ์ของอี้เจียง ตั้งแต่ออกเดินทาง นางได้แต่สัปหงกอยู่ในรถทั้งวันจนมีสภาพเหมือนมะเขือเหี่ยวๆ ตันคุยมองแล้วอ่อนใจอย่างยิ่ง
อากาศดีอยู่ได้ไม่นาน ไม่ทันไรดวงอาทิตย์ก็โผล่ออกมาส่องแสงร้อนแรง
แคว้นเว่ยอยู่ทางใต้ รวงธัญพืชจึงสุกเร็วกว่าที่อื่น ตลอดทางที่ผ่านมาเห็นราษฎรจำนวนไม่น้อยออกมาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทำงานอยู่ในที่นา เก็บเกี่ยวพืชผลกัน อี้เจียงเกาะประตูรถพลางถอนหายใจเฮือกๆ ราวกับตนเองเป็นรวงข้าวที่ถูกเกี่ยวเสียเอง
ระหว่างยุ่งมือเป็นระวิง ชาวไร่ชาวนาแคว้นเว่ยก็เห็นขบวนรถม้าหรูหราสวยงามผ่านไป ด้วยไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง จึงนึกว่าแคว้นจ้าวจับเด็กสาวส่งไปเป็นของขวัญแก่เว่ยหวัง
ข่าวแคว้นจ้าวต่ำช้าเล่าลือไปทั่วชนบท ชาวบ้านพากันซ่อนบุตรสาวของตนเองยกใหญ่
หลังจากผ่านที่นาและป่าผืนแล้วผืนเล่า ในที่สุดก็ได้เห็นเมืองอีกครั้งเสียที
จนถึงตอนนี้ อี้เจียงก็ยังรู้สึกต่อต้านงานรับหัวศพไม่หาย พอเข้าไปในจุดพักม้าก็เก็บตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมไม่ยอมออกมา ราวกับต้องการจะตัดขาดจากโลกภายนอกจนถึงที่สุด
ความเป็นแม่ในตัวตันคุยพลุ่งพล่านอีกแล้ว เขาคอยปกป้องดูแลนางตลอดเวลา คอยสั่งสอนชี้นำนางอย่างใจเย็น ขณะเปิดหน้าต่างออก เขาก็ชี้ให้นางดูความคึกคักภายนอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
อี้เจียงนั่งขัดสมาธิที่โต๊ะ เอามือเท้าคางหมุนพู่กันเล่นโดยไม่หือไม่อือ
ตันคุยบรรยายภาพนอกหน้าต่างให้อี้เจียงฟัง ทั้งเรือนที่อยู่ไกลออกไป แผงขายของที่อยู่ใกล้ๆ เด็กทโมนที่ตีกันวุ่นวาย อยู่ๆ เขาก็ชะโงกตัวออกไปข้างนอกแล้วหันมาอุทานด้วยความประหลาดใจ “หือ? แม่นาง มีทูตของแคว้นฉีมาที่นี่ด้วยขอรับ!”
อี้เจียงเพิ่งจะยอมเงยหน้าขึ้นมา “อะไรนะ!”
ทูตแคว้นฉีมาแคว้นเว่ยด้วยเหตุใดกัน นางฟังแล้วไม่เชื่อนักจึงเดินไปดูตรงหน้าต่าง หน้าประตูโรงเตี๊ยมมีฝุ่นฟุุ้ง คนกลุ่มหนึ่งเข้าออกกันเอะอะ มีองครักษ์หนึ่งกอง รถม้าหนึ่งคัน และม้าเร็วอีกหลายตัว องครักษ์แต่งชุดทหารฉีจริงๆ คนที่เป็นหัวหน้ายังถือธงที่มีตัวอักษรฉีอีกด้วย
อี้เจียงเดินออกไปดูข้างนอกด้วยความแปลกใจ ประจวบเหมาะกับที่เจ้าหน้าที่ของจุดพักม้านำทหารฉีนายหนึ่งเดินเข้ามา
“ทูตแคว้นจ้าวมาได้จังหวะ” เจ้าหน้าที่หันมาแนะนำกับอี้เจียงยิ้มๆ “ท่านผู้นี้เป็นองครักษ์ของทูตแคว้นฉี กำลังอยากพบท่านอยู่พอดี”
ทหารฉีนายนั้นประสานมือคำนับอี้เจียง “คารวะทูตแคว้นจ้าว ได้ยินว่าแคว้นจ้าวส่งทูตมาแคว้นเว่ย พระมเหสีจึงทรงส่งทูตมาช่วยเหลือโดยเฉพาะ เพื่อแสดงสายสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น”
อี้เจียงยิ้มรับ แต่ในใจรู้สึกแปลกพิกล พระมเหสีจวินใจดีเพียงนี้เชียว?
“ไม่ทราบว่าทูตทางฝ่ายพวกท่านคือ…” ใจนางเต้นเร็วราวกับรัวกลอง ขออย่าให้เป็นกงซีอู๋…ขออย่าให้เป็นกงซีอู๋…ขออย่าให้เป็นกงซีอู๋…
“ศิษย์น้อง”
ให้ตายเถอะ! อี้เจียงปวดกระเพาะนิดๆ
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นข้างหลังแผ่วเบาและมั่นคง นางพยายามปั้นหน้ายิ้มแล้วหันกลับไป “ศิษย์พี่”
กงซีอู๋สวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าสีขาวราวกับหิมะ รัดเกล้าประดับหยกเขียว ทั้งๆ ที่แดดร้อนจ้า ใบหน้าของเขากลับนิ่งขรึมเป็นปกติ “ดูท่าจะมาทันเวลาพอดี”
อี้เจียงคำนวณเวลา จากเมืองหานตันมาถึงที่นี่ นางใช้เวลาสิบกว่าวัน เขาสามารถเดินทางจากเมืองหลินจือมาสมทบกับนางที่นี่ได้อย่างพอดีเช่นนี้ คงไม่ใช่ยังจับตามองนางอยู่หรอกนะ
กงซีอู๋มีสีหน้าท่าทางเหมือนเดิม ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เขาผายมือเชิญ เดินเข้าไปในจุดพักม้าพลางเอ่ย “พระพันปีจ้าวให้ศิษย์น้องเป็นทูตมาที่แคว้นเว่ยเพื่อผิงหยวนจวินสินะ”
อี้เจียงปั้นยิ้ม “หากผิงหยวนจวินรู้ว่าแคว้นฉีส่งศิษย์พี่มาช่วยเขาโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งใจเพียงใด”
ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ “ฉีและจ้าวเป็นพันธมิตรกันแล้ว มีอะไรต้องช่วยเหลือกันสิ”
อี้เจียงไม่เชื่อคำพูดดูดีนี้หรอก ประสาททุกส่วนของนางตื่นตัวเต็มที่ หมายจะอ่านเขาให้ทะลุปรุโปร่ง
วันรุ่งขึ้นออกเดินทางกันอีกครั้งด้วยขบวนที่ใหญ่กว่าเดิมมาก
กงซีอู๋ไม่ได้นั่งรถ เขาเปลี่ยนมาใช้ม้า ทั้งยังสั่งให้ทหารจูงม้ามาให้อี้เจียงด้วยหนึ่งตัว
อี้เจียงปฏิเสธ บอกว่าตนชอบนั่งรถมากกว่า
ชายหนุ่มขี่ม้าเข้ามาใกล้ “เห็นศิษย์น้องขี่ม้าเก่ง ข้านึกว่าเจ้าชอบขี่ม้าเสียอีก”
อี้เจียงรู้สึกว่าตนเองโดนเหน็บแนมเรื่องที่หนีออกจากแคว้นฉีเลยรับบังเหียนมาจากทหาร แล้วปีนขึ้นหลังม้า
กงซีอู๋ขี่ม้าเข้ามาตีคู่ อี้เจียงเหลือบมองเขาเป็นระยะ แต่เห็นเขาทอดตามองตรงไปข้างหน้า ไม่มีเจตนาเป็นอื่นและไม่มีทีท่าว่าจะชวนนางคุย นางเองก็ไม่อยากคุยกับเขาอยู่พอดี จึงหนีบเข่าเข้ากับสีข้างม้าเร่งความเร็วเงียบๆ เพื่อแซงเขา
แต่ไม่ทันไรเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นข้างตัว พอหันไปมองก็พบว่าม้าของกงซีอู๋วิ่งขึ้นมาตีคู่อีกครั้ง
นางหางตากระตุกแล้วเร่งความเร็วต่อ
เพิ่งจะทิ้งห่างมาได้นิดเดียว เสียงม้าวิ่งกุบกับก็ดังเข้าหูอีก นางหันไปมอง กงซีอู๋ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าขณะขี่ม้าคู่กับนางอย่างมั่นคง
จงใจสินะ? จะต้องจงใจแน่ๆ! อี้เจียงกำบังเหียนในมือแน่น
(ติดตามอ่านฉบับเต็มได้ในรูปเล่ม)