การเดินทางไปแคว้นจ้าวครั้งนี้สร้างความลำบากให้แก่อี้เจียงอย่างมาก ลำพังแค่การเตรียมตัวก่อนออกเดินทางก็ใช้เวลานานยิ่งเพราะนางขี่ม้าไม่เป็น แต่จำเป็นต้องเร่งทำเวลา นางจึงนั่งรถม้าไม่ได้
ทหารแคว้นฉีสองนายที่ตามไปอารักขาระหว่างทางนั่งอยู่บนหลังม้า มองอี้เจียงจับบังเหียน ประเดี๋ยวก็ทำท่าจะยกเท้าเหยียบโกลนขึ้นม้า ประเดี๋ยวก็เอาเท้าลง ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน นึกสงสัยในใจว่าท่านทูตพิเศษกินมากเกินไปก่อนออกเดินทางเลยปีนขึ้นม้าไม่ไหวหรือ
เลยเที่ยงไปแล้ว แดดร้อนจ้า นอกประตูเมืองไม่มีร่มเงากำบัง ทหารที่รักษาการณ์อยู่บนกำแพงเมืองมายืนดูจนแทบเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่แล้ว ทหารอารักขาทั้งสองจึงเอ่ยปากเร่งอย่างทนไม่ไหว
อี้เจียงยกมือปรามด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแล้วบอกว่า “ข้าต้องการของบางอย่าง พวกเจ้าต้องไปเตรียมมาให้ครบถึงจะออกเดินทางได้”
ทหารนายหนึ่งลงจากหลังม้า เดินเข้ามาประสานมือรอคำสั่ง “ท่านทูตพิเศษเชิญสั่งมาได้เลย ผู้น้อยจะรีบไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”
อี้เจียงสั่งการโดยละเอียด ฝ่ายตรงข้ามทำหน้าแปลกๆ แต่ก็ยังเดินไปจัดการให้
สักพักทหารนายนั้นก็กลับมาพร้อมของที่นางต้องการ
สิ่งนั้นคือผ้าหลายชิ้นที่ยัดนุ่นไว้จนเต็ม ทั้งยังมีเชือก ขอบผ้าเพิ่งเย็บขึ้นมาประเดี๋ยวนั้น ฝีเข็มจึงหยาบอย่างเห็นได้ชัด
นุ่นเป็นของหายาก มีราคาแพง ทั้งตอนนี้อากาศก็ร้อนจัด ทหารฉีรู้สึกว่าทูตพิเศษจะต้องป่วยแน่ๆ
อี้เจียงเมินทหารรักษากำแพงเมืองที่ยืนดูตนอยู่เป็นนานสองนาน และไม่สนใจสายตาของทหารอารักขาทั้งสอง นางมัดผ้าที่ยัดนุ่นเข้ากับหัวเข่าทั้งสองข้าง เอว ข้อศอก และลำคออย่างแน่นหนา จากนั้นก็จับบังเหียนม้าอีกครั้ง
ร้อนตายไม่เท่าไร ตกม้าตายสิน่ากลัว!
อี้เจียงลูบหัวม้า ปลอบมันแล้วปลอบมันอีก จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ ปีนขึ้นไปบนหลังมันในที่สุด
มือที่จับบังเหียนอ่อนปวกเปียก ส่วนขาที่หนีบสีข้างม้าทั้งสองข้างนั้นเกือบจะแข็งทื่อ แต่เจ้าม้าไม่ได้วิ่งเหยาะๆ เหมือนอย่างที่นางคิดไว้ในตอนแรก กลับควบกระโจนไปข้างหน้าคล้ายว่าหมดความอดทนนานแล้ว
ความฮึกเหิมของม้าแคว้นฉีเป็นที่รู้กันทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด
ทหารฉีสองนายเห็นท่านทูตพิเศษพุ่งออกไปเร็วราวลูกธนูพร้อมส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ก็อึ้งกันอยู่นานกว่าจะควบม้าตามไป
เสียงกรีดร้องของอี้เจียงดังต่อเนื่อง หนึ่งวันกับอีกคืนถึงค่อยฟังดูดีขึ้น จนสุดท้ายก็เงียบไปโดยสิ้นเชิง เพราะลำคอแหบแห้งจนร้องไม่ออก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อี้เจียงเดินทางไกลถึงเพียงนี้ แต่เป็นครั้งที่เหนื่อยที่สุดแน่นอน ราชสาส์นของพระมเหสีจวินเก็บอยู่ในอกเสื้อ เหนือกระหม่อมคือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สาดแสงลงมา นางต้องขี่ม้าทั้งวันทั้งคืนแทบไม่มีเวลาให้พักผ่อน
อี้เจียงมาถึงเมืองหานตันในอีกสิบวันให้หลัง ตอนที่ลงจากม้า ร่างกายครึ่งล่างของนางชาดิกจนไร้ความรู้สึก สามารถจูงม้าเดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องคลานเข้าไปก็ถือว่าดีมากแล้ว
ไม่สิ ที่น่าดีใจที่สุดคือนางไม่ตกม้าตายต่างหาก
ไฟสงครามลุกโหมอยู่ที่แนวหน้า แต่เมืองหานตันยังคงสงบเงียบเหมือนเก่า มีต่างตรงที่ไม่เห็นผู้คนสวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ ออกมาเดินถนนและไม่ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงเช่นเคย เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้บรรยากาศอันเงียบเชียบ
อี้เจียงไม่ได้นอนหลับดีๆ มาหลายคืน เสื้อผ้าที่สวมก็ชื้นเหงื่อ ไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยน นางรู้สึกรำคาญตัวมานานแล้ว พอถึงโรงเตี๊ยมจุดพักม้าก็รีบไปแช่น้ำเป็นอันดับแรก
ระหว่างอยู่ในถังน้ำ นางนั่งหรี่ตานิ่งๆ สักพัก รอบตัวเงียบสงัด ไม่มีเสียงเอะอะครึกครื้นในเมืองดังมาให้ได้ยินอย่างเคย รับรู้ได้ว่าเมืองหานตันผิดแปลกไปจากปกติ