อี้เจียงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “พระมเหสีทรงทราบดีว่าสิ่งที่หม่อมฉันพูดกับเถียนตันในวันนั้นมีเหตุผลหนักแน่น แต่ทรงทำเมินเพราะความหวาดกลัวที่มีต่อแคว้นฉิน ตอนนี้จะทรงกำจัดหม่อมฉันก็ต้องดูสถานการณ์ก่อนหรือไม่ ถ้าเถียนตันเกิดรบชนะขึ้นมาจะเป็นผลดีต่อทั้งแคว้นฉีและแคว้นจ้าว อย่างน้อยในช่วงสั้นๆ นี้ แคว้นฉินก็ไม่กล้ารุกคืบเข้ามาทางตะวันออกแม้แต่ก้าวเดียว!”
พระมเหสีจวินชะงักไปด้วยสีหน้าลังเล แล้วหันไปหาเถียนเจี้ยนผู้เป็นบุตรชายก่อน “ลูกแม่มีความเห็นเช่นไร”
รัชทายาทเจี้ยนยิ้ม ทว่าเอาแต่อึกๆ อักๆ อยู่นานไม่ยอมพูดอะไร
พระมเหสีขึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาขุนนางใหญ่คนอื่น “ทุกท่านคิดเห็นเช่นไรบ้าง”
คนที่เห็นต่างแสดงการคัดค้านอย่างรุนแรง “ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ! แคว้นฉินมีใจคิดรุกรานแคว้นอื่น แต่เพราะสายสัมพันธ์ที่พระมเหสีทรงสานเอาไว้ จึงมีเพียงแคว้นฉีที่รอดพ้น หากต่อต้านแคว้นฉินในตอนนี้ มิเท่ากับสิ่งที่ทำมาโดยตลอดล้วนสูญเปล่าหรือ”
กลุ่มคนที่สนับสนุนความคิดนี้ต่างพากันชี้หน้าด่าอี้เจียง ท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นเหมือนอยากกระโจนเข้ามากัดกินนางทั้งเป็น
แต่ก็มีคนที่เห็นด้วยกับอี้เจียงเช่นกัน “กระหม่อมเห็นว่าได้ ถ้าแคว้นฉินไม่ได้มีเจตนาแค่วางตัวเป็นใหญ่ วิธีนี้จะช่วยหยุดยั้งการรุกรานฝั่งตะวันออกของแคว้นฉินได้อย่างเห็นผลที่สุด”
พระมเหสีจวินมีท่าทางลังเล ก่อนจะหันไปทางกงซีอู๋ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ “แล้วท่านเสนาบดีเห็นว่าอย่างไร”
กงซีอู๋อ่านสถานการณ์ของใต้หล้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มีหรือจะคัดค้าน อี้เจียงใคร่ครวญถึงข้อนี้อยู่แล้ว
เขาหลุบตาตอบ “กระหม่อมคิดว่ารอดูผลเงียบๆ ไปก่อนก็ได้”
พระมเหสีขมวดคิ้ว “จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแคว้นฉินไม่ได้มีเจตนาแค่ตั้งตัวเป็นใหญ่”
วันนั้นอี้เจียงพูดคุยกับพระพันปีจ้าวอยู่นาน ย่อมเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี จึงตอบไปเสียงฉะฉาน “จ้าวผนวกจงซาน ฉีผนวกซ่ง ทั้งหมดนี้เพื่อตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างนั้นหรือ นับตั้งแต่แคว้นจิ้นแตกออกเป็นจ้าว หาน เว่ย สามแคว้น แคว้นใหญ่น้อยถูกผนวกดินแดนไปเท่าไร ผ่านมานานเพียงนี้ การขยายดินแดนใหม่กลายเป็นสิ่งจำเป็น พระมเหสีจะทรงหลอกองค์เองและคนอื่นไปด้วยเหตุใดกัน ที่ตอนนี้ฉินยังไม่รุกรานฉี ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ที่พระมเหสีทรงสร้างไว้ แต่เป็นเพราะแคว้นฉีอยู่ไกลเกินกว่าที่ปลายแส้ของฉินจะเฆี่ยนถึง เมื่อจ้าวล่มสลาย แคว้นถัดไปไม่เว่ยก็หาน ถัดจากนั้นจึงเป็นฉี”
พระมเหสีจวินหน้าซีด พูดอะไรไม่ออก
รัชทายาทเจี้ยนเองก็ดูตื่นตระหนก มองอี้เจียงกับมารดาสลับกันไปมา
กงซีอู๋ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงยังเยือกเย็นเหมือนปกติ “ทูลพระมเหสี ในเมื่อลงนามความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็รอดูผลก่อนค่อยว่ากันทีหลังเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หากไม่นับขุนนางใหญ่สามสี่คนที่คัดค้านอย่างรุนแรง คนอื่นๆ ต่างพากันกลับไปนั่งที่
“พวกกระหม่อมเห็นด้วยกับท่านเสนาบดี”
แม้พระมเหสีจวินจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากโบกมือกล่าวว่า “ก็ได้ หากเถียนตันรบชนะ ข้าจะแต่งตั้งผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเป็นขุนนางต่างแคว้นด้วยตนเอง ไม่กลับคำเด็ดขาด แต่หากไม่…”
อี้เจียงประสานมือขึ้นสูง ค้อมคำนับพลางบดบังแววตาของตนเองไปพร้อมกัน “หากไม่ชนะ หวนเจ๋อยินดีให้พระมเหสีทรงจัดการตามพระทัย”
อันที่จริงนางก็ไม่รู้ว่าจะชนะได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยเท่าที่ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้ โอกาสชนะมีสูงมาก
พระพันปีจ้าวบอกนางว่าทัพฉินไม่ได้ยกไพร่พลมาทั้งแคว้น ที่เถียนตันไม่ได้รับชัยในการรบครั้งแรก ไม่ได้เป็นเพราะทัพฉินแกร่งกล้า แต่เป็นเพราะฉีและจ้าวไม่สามัคคี
จ้าวกังวลว่าฉีไม่ได้ยกทัพมาช่วยอย่างจริงใจ ส่วนฉีนั้นใจหนึ่งกลัวว่าจ้าวจะเอาแต่พึ่งตนเอง อีกใจหนึ่งไม่อยากมีเรื่องกับฉิน จึงไม่ได้รบอย่างเต็มความสามารถ
ครั้งนี้นางไปในฐานะตัวแทนแคว้นฉี ร่วมลงนามสายสัมพันธ์ใหม่กับแคว้นจ้าว ตอนนี้ข่าวเรื่องฉีและจ้าวร่วมแรงร่วมใจต่อต้านทัพฉินแพร่สะพัดไปทั่วแคว้นจ้าวแล้ว หากเถียนตันยังไม่ตั้งใจรบก็เท่ากับมีโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง ดังนั้นเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่ วิธีนี้พระพันปีจ้าวเองก็คิดว่าน่าจะได้ผล