ตันคุยเร่งฝีพาย ในที่สุดก็ถึงฝั่งตรงข้าม มีคนจูงม้าเร็วก้าวออกมาจากป่าทันที เขากวาดตาปราดเดียวก็มองออกว่าคนเหล่านั้นเป็นทหารที่แต่งกายด้วยชุดลำลอง สำเนียงบ่งบอกว่ามาจากแคว้นจ้าวจริงๆ
ทหารฉีมายืนเรียงแถวหน้ากระดานที่ฝั่งตรงข้าม อี้เจียงปีนขึ้นม้าแล้วหันไปมอง เห็นร่างของกงซีอู๋อยู่ใต้แสงไฟ
นางลูบหัวปลอบม้าที่กำลังตะกุยดินอย่างกระสับกระส่ายพลางส่งเสียงตะโกน “ศิษย์พี่ไม่ต้องมาส่งหรอก ข้าไม่อยากเป็นขุนนางต่างแคว้นของแคว้นฉี ตำแหน่งเสนาบดีแคว้นจ้าวกำลังรอข้าอยู่!”
“ไฉนศิษย์น้องถึงได้กลับคำเสียเล่า” เสียงของกงซีอู๋ลอยมาตามลม
อี้เจียงหัวเราะลั่น นี่เป็นครั้งแรกที่นางปลอดโปร่งใจได้เพียงนี้ “ศิษย์พี่ให้ข้าเป็นขุนนางที่แคว้นฉีไปชั่วชีวิต เพราะอยากให้ข้าอยู่ใต้การควบคุมของท่านตลอดไปกระมัง ทำศึกต้องใช้เล่ห์กล ข้าให้คำสัญญาเพื่อเอาตัวรอด จะถือเป็นจริงได้อย่างไร”
นางให้ม้าเหยาะย่างไปตรงริมน้ำ “อ้อ จริงสิ ยังมีนี่” ดึงม้วนไม้ไผ่ที่ใช้เป็นบันทึกประจำวันจากในห่อสัมภาระข้างหลังมาชูขึ้นสูง “ศิษย์พี่อยากรู้มากเลยใช่หรือไม่ว่าในนี้เขียนอะไรไว้บ้าง” นางคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ปล่อยมือให้ม้วนหนังสือร่วงหล่น ลอยไปตามกระแสน้ำ
สีหน้าของกงซีอู๋นิ่งสนิท
นางปัดมือ “ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย แล้วค่อยเจอกันใหม่” พูดจบก็กระตุกบังเหียนให้ม้าหันหัว ก่อนควบหายไปในความมืด
“ท่านเสนาบดี…” ทหารฉีหันไปมองกงซีอู๋ เฝ้ารอคำสั่งจากเขาว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่กลับได้เห็นรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากเขาแทน ทหารฉีจึงหันไปมองหน้ากันเหลอหลา
การเข้าออกเขตแดนแคว้นต่างๆ จำเป็นต้องมีขั้นตอนและใช้เอกสารที่เรียกว่า ‘หนังสือผ่านแดน’ อี้เจียงมองว่าหนังสือผ่านแดนนี้ก็คล้ายหนังสือเดินทางในยุคปัจจุบัน โชคดีที่นางทำหนังสือผ่านแดนเอาไว้ตั้งแต่ตอนเป็นทูตให้แคว้นฉี
จากเมืองหลินจือขี่ม้าไปทางทิศตะวันตกอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ออกจากพรมแดนแคว้นฉี ตอนแรกอี้เจียงทำใจไว้ว่าจะต้องถูกกงซีอู๋ไล่ตามมา นึกไม่ถึงว่าตลอดทางจะราบรื่นไร้อุปสรรค สามารถเข้าเขตแดนแคว้นจ้าวโดยปลอดภัย
ดวงอาทิตย์ยามเช้าเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ส่องแสงสีแดงอ่อนอันเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ ถนนหลวงโล่งกว้าง สองฝั่งทำนาข้าวสาลีเป็นผืนยาวเหยียด มองดูคล้ายนางกำนัลใส่ชุดสีเขียวยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในวังหลวง โน้มรวงส่ายไหวท่ามกลางลมอ่อน ถูกแดดส่องจนส่งกลิ่นหอมหวานอบอวล
ที่นี่เงียบสงบ ทั้งอยู่ห่างไกลจากไฟสงคราม ทหารจ้าวยี่สิบถึงสามสิบนายที่แต่งชุดลำลองคอยตามหลังอี้เจียงไม่ห่างตลอดทาง จวบจนมาถึงที่นี่ถึงค่อยผ่อนคลาย ปล่อยม้าเดินช้าๆ
ตันคุยเพิ่งจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุ เขาพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่รับรู้พลางถามอี้เจียง “แม่นาง ท่านโยนบันทึกของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ทิ้งแม่น้ำเช่นนี้ไม่เสียดายหรือ”
นั่นมันบันทึกของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ที่ใดกันเล่า อี้เจียงนึกกังขาความสามารถในการจับใจความสำคัญของตันคุย แต่ตอนนี้นางเหนื่อยจนแทบสัปหงกแล้วจึงได้แต่ตอบไปส่งๆ “เสียดายสิ เสียดายใจแทบขาด”
ตันคุยถอนหายใจเฮือกๆ ราวกับสูญเสียของล้ำค่าไปชิ้นหนึ่ง
ทั้งสองเอาแต่คุยกันเรื่องม้วนหนังสือจนลืมจ้าวจ้งเจียวที่กำลังทุบจอกสุราสำริดทิ้งด้วยความโมโหในจวนตัวประกันไปโดยสิ้นเชิง
พอเข้าเมืองก็มีขุนนางมารอรับโดยเฉพาะที่โรงเตี๊ยมจุดพักม้า จัดเตรียมอาหารและน้ำอาบให้เป็นอย่างดี
อี้เจียงได้ใช้ชีวิตไปตามเวลาที่ควรเป็นแล้ว ตกกลางคืนนางนอนหลับเต็มอิ่ม วันรุ่งขึ้นก็ตื่นตรงเวลาแต่เช้า ออกเดินทางไปยังเมืองหานตันต่อ
พระพันปีจ้าวเตรียมการอย่างพิถีพิถัน ตลอดทางนอกจากจะได้รับการดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี ยังมีม้าเร็วคอยเปลี่ยนให้เป็นระยะ พอใกล้จะถึงเมืองหานตัน นางก็ได้นั่งรถม้าแทน
อี้เจียงรู้ข่าวว่าแคว้นฉินถอนทัพไปแล้ว การเดินทางจึงเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ทำเหมือนชมนกชมไม้ไปตลอดทางจนเข้าเมืองหานตันอีกครั้ง
ผู้คนในเมืองเหมือนฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่ ถนนหนทางจอแจคับคั่ง รถม้าแล่นสวนกันไม่ขาดจนเห็นฝุ่นดินฟุ้งตลบโดยรอบ ข่าวการตายของเว่ยฉีถูกชาวบ้านนำมาพูดคุยอย่างตื่นเต้นดีใจ
การตายของคนผู้หนึ่งกลายเป็นเรื่องน่ายินดีของคนทั้งแคว้น คิดแล้วก็น่าหดหู่ยิ่งนัก
เวลานี้ขุนนางแคว้นจ้าวรู้ดีว่าเด็กสาวนามหวนเจ๋อกำลังเป็นที่โปรดปราน พระพันปีจ้าวถึงกับยกจวนฉางอันจวินให้นางอยู่
อี้เจียงกลับไปอยู่ในเรือนเดิมของตนอีกครั้ง ก่อนนอนตอนกลางคืน นางชดเชยด้วยการจุดตะเกียงสว่างไสวไปทั้งเรือนจนเข้าขั้นฟุ้งเฟ้อ จากนั้นก็เอนตัวลงบนเตียง แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
อาการเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับอี้เจียงเฉพาะช่วงไม่กี่เดือนแรกที่อยู่ในคุก ต่อมาเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นไม่หยุด ประสาทจึงถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวเต็มที่อยู่ทุกวัน กลายเป็นพอหัวถึงหมอนก็หลับสนิท แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร นางนอนตาค้างทั้งคืนจนฟ้าสาง…