อี้เจียงประสานมือพลางค้อมตัวไปข้างหน้า เพิ่งจะคารวะจ้าวหวังตันกับพระพันปีเสร็จ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พอเข้ามาก็สอดส่ายสายตามองไปทั่วตำหนัก ไม่สำรวมเอาเสียเลย ศิษย์เอกของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่เป็นเช่นนี้เองหรือ”
อี้เจียงหันไปมอง พบว่าชายชราผมหงอกขาวผิวเหี่ยวย่นคนหนึ่งกำลังจ้องมาทางตน หางตาตก ริมฝีปากปิดสนิท ดูเป็นคนดื้อรั้นไม่ฟังใครง่ายๆ
พระพันปีจ้าวบอกยิ้มๆ “เด็กสาวก็เป็นเช่นนี้ ท่านชายหมิงอย่าได้ถือสา”
น่าเสียดายที่ท่านชายหมิงไม่ยอมไว้หน้า กลับชูแผ่นฮู่ป่าน* ในมือขึ้นสูงพร้อมคํานับ พูดอย่างตรงไปตรงมา “ในเมื่อเป็นเด็กสาว จะเป็นขุนนางได้อย่างไร”
คนที่ถูกเรียกว่าท่านชายอะไรสักอย่างนี่จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นจ้าวอย่างแน่นอน ดูจากวัยน่าจะเป็นรุ่นเดียวกับอดีตจ้าวหวังที่ล่วงลับไปแล้ว มิน่า แม้แต่พระพันปีจ้าวยังต้องยิ้มแย้มแจ่มใสด้วย
รอยยิ้มบนใบหน้าพระพันปีจ้าวลดเลือนไปบางส่วน “หวนเจ๋อมีความดีความชอบที่ช่วยจ้าว ข้าจึงอวยยศให้ตามสัญญา เหตุใดจะไม่ได้เล่า”
ท่านชายหมิงแค่นเสียงหึ ยกมือชี้อี้เจียง “พระพันปีโปรดทรงทอดพระเนตร เด็กสาวอ่อนแอผอมบางเช่นนี้น่ะหรือที่จะทรงแต่งตั้งเป็นเสนาบดี! ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงแคว้นอื่น แคว้นจ้าวเราคงถูกหัวเราะเยาะว่าไม่เหลือคนมีความสามารถแล้ว!”
ชู่หลงนั่งอยู่ทางขวามือของท่านชายหมิง มือหนึ่งจับไม้เท้า อีกมือวางบนโต๊ะ คงเพราะรู้สึกว่าอี้เจียงดูคุ้นตา จึงได้ชะโงกหน้าเพ่งมอง หุบปากสนิท
“ท่านชายหมิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว พระพันปีและฝ่าบาทโปรดทรงทบทวนด้วย” ขุนนางมากมายส่งเสียงสนับสนุน มีแค่ไม่กี่คนที่นิ่งเฉย
อยู่ๆ เสียงรอบตัวก็เงียบลงพร้อมกัน อี้เจียงยืนอยู่ในตำหนัก เหลือบตามองหัวดำๆ ที่เห็นเป็นพืดทั้งสองฝั่ง รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจนิดๆ
จ้าวหวังตันที่นั่งอยู่ด้านบนโพล่งถามขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าแคว้นฉีก็ตั้งใจจะแต่งตั้งผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเป็นขุนนางเช่นกัน ทุกท่านทราบเรื่องนี้หรือไม่”
ทุกคนชะงัก พูดตามตรง แม้แต่อี้เจียงยังผงะอึ้ง
จ้าวหวังตันผู้หนุ่มแน่นคนนี้เป็นคนเงียบขรึมผิดกับน้องชาย นั่งเงียบอยู่นานถึงค่อยโพล่งประโยคนี้ออกมา นางจึงเพิ่งรับรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ด้วย นางแอบพิจารณาเขา แต่เพราะมีสายมุกบังเลยเห็นหน้าไม่ชัด รู้แต่ว่าผิวของเขาค่อนข้างเข้ม มองเผินๆ ดูบึกบึนห้าวหาญกว่าหนุ่มน้อยหน้ามนอย่างจ้าวจ้งเจียว
“ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไร” ท่านชายหมิงถามอย่างโมโห รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสั่นระริก “แคว้นฉีหลงคารมสตรีผู้นี้ แคว้นจ้าวเราก็ต้องหน้ามืดตามัวตามด้วยหรือ”
พระพันปีจ้าวพูดขึ้นอย่างเย็นชา “คารมของสตรีผู้นี้ทำให้ทัพฉินถอยร่นไปได้ ส่วนเชื้อพระวงศ์อย่างพวกท่านกลับใช้คารมอยู่แต่ที่นี่”
ท่านชายหมิงลุกขึ้นด้วยความโมโห แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลง “พระพันปีทรงมีหน้าที่สำเร็จราชการ แต่กลับทรงทำผิดจารีตโบราณ จะทรงเลียนอย่างอู่หลิงหวังกระนั้นหรือ”
พระพันปีจ้าวเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายเย็นชา ส่วนจ้าวหวังตันมีอาการตอบสนองที่รุนแรงยิ่งกว่า ตบโต๊ะลุกพรวดแล้วหันหลังเดินออกไป
ท่านชายหมิงเห็นเช่นนั้นก็ค่อยสำรวมกิริยา ประสานมือคำนับทีหนึ่ง แต่ก็ไม่มีท่าทีลนลานแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้อี้เจียงยืนตะลึงอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับตัวส่งเดช
นางเคยฟังเรื่องราวของอู่หลิงหวังมาแล้ว พระพันปีจ้าวชื่นชมนักปกครองคนนี้อย่างมาก ตอนปรึกษากลยุทธ์กันคราวก่อนยังบอกนางว่า ‘หากอู่หลิงหวังยังมีพระชนม์อยู่ พวกฉินไม่กล้ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้หรอก’ ตอนที่ยังอยู่ในแคว้นฉี นางก็เคยได้ฟังเรื่องราวของอู่หลิงหวังอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกันพอควร