ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 11 – 12
เมิ่งถังทั้งตื่นตะลึงและดีใจ รีบขอบคุณมู่หวาฮุย “ขอบคุณศิษย์พี่”
ดวงตาโค้งขึ้นเห็นความลิงโลดและรอยยิ้มที่อยู่ข้างในได้ชัดเจน
หัวใจที่แขวนลอยอยู่เมื่อครู่ของมู่หวาฮุยพลันผ่อนคลายลงไม่น้อย
หลังจากอืมออกมาคำหนึ่ง เขาพลันถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่เจ็บหรือ”
แม้เขาจะใช้ปราณวิเศษทำให้กระดูกที่หักเชื่อมต่อใหม่ แต่ความรู้สึกเจ็บเขากลับไม่อาจทำให้หายไปได้ กระทั่งการใช้ปราณวิเศษซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม เรื่องนี้ก็มีอาการข้างเคียง นั่นคือทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดที่มีอยู่แต่เดิมเพิ่มมากขึ้น…
เมิ่งถังกำลังจมอยู่ในความลี้ลับมหัศจรรย์และความดีใจที่แขนตนหายดีเช่นนี้ได้ ชั่วขณะนั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องเจ็บหรือไม่เจ็บ มาบัดนี้จู่ๆ มู่หวาฮุยก็เอ่ยถามขึ้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางกลับมาทันที
หลังจากชะงักนิ่งไปชั่วขณะ นางก็เริ่มกรีดร้องร่ำไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ศิษย์พี่ ข้าเจ็บนัก!” ศิษย์พี่ เพราะเหตุใดท่านต้องตั้งใจเตือนข้าเรื่องนี้ด้วย!
ร้องไห้จนไม่เหลือความงาม น้ำตาไหลออกมาราวกับน้ำพุ จอนผมรุ่ยร่ายเล็กน้อย ตัวเสื้อด้านหน้าสีเขียวอ่อนไม่รู้มีโลหิตสีแดงฉานหลายหยดกระเซ็นมาถูกตั้งแต่เมื่อใด
มู่หวาฮุยกลับรู้สึกว่าเมิ่งถังที่เป็นเช่นนี้ดูแปลกใหม่มีชีวิตชีวาน่ารักยิ่ง
อดหยักยกมุมปากขึ้นไม่ได้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปกดที่ข้างลำคอเมิ่งถังเบาๆ ทีหนึ่ง
ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีวิธีขจัดความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้ได้ ได้แต่ทำให้นางหมดสติหลับไปก่อน เมื่อนอนหลับแล้วย่อมไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
ก่อนเมิ่งถังจะหลับตาทั้งสองข้างลงก็รับรู้ได้ว่ามู่หวาฮุยยื่นมือมารับร่างนางไว้ ยังโอบเอวให้นางพิงอยู่กับร่างของเขาอย่างเอาใจใส่ยิ่ง
จิตสำนึกค่อยๆ เลือนราง ในใจของเมิ่งถังยังคิด กลิ่นอายบนร่างศิษย์พี่หอมจริง อ้อมแขนของศิษย์พี่ก็อบอุ่นยิ่ง แต่ศิษย์พี่ไม่ใช่มีนิสัยรักสะอาดหรอกหรือ ทั้งแต่ไรมาก็ไม่ชอบสัมผัสเนื้อตัวกับคนอื่น เขากลับให้นางอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา นี่คงไม่ใช่นางฝันไปกระมัง
ถ้าเป็นฝันจริงก็น่าจะเป็นฝันดี
หลังจากเมิ่งถังตื่นขึ้นมาก็งุนงงอยู่พักใหญ่ นอนนานเกินไปหรือเต็มอิ่มเกินไป ตอนตื่นขึ้นมาจะรู้สึกงุนงงสับสนได้ง่าย
เมิ่งถังมองเพดานมุ้งสีครามอ่อนเหนือศีรษะครู่หนึ่ง ค่อยๆ นึกถึงเรื่องที่นอกเมืองเหิงหยางขึ้นมา
เอียงหน้าไปมองแขนซ้ายของตน ยังดีอยู่ ยกแขนขึ้นลงเหวี่ยงหน้าเหวี่ยงหลัง เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว
จุดที่บาดเจ็บก็ยังเจ็บอยู่ ทว่าความเจ็บปวดในตอนนี้อยู่ในขอบเขตที่ทนไหว ไม่เหมือนตอนนั้น ประหนึ่งมีลูกศรหมื่นดอกแทงทะลุหัวใจ ถูกน้ำมันราดไฟเผา ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถทานทนได้
เมิ่งถังเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เลิกผ้าห่มจะลุกขึ้น เพิ่งจะลุกขึ้นมานั่งตัวตรงที่ขอบเตียงก็ได้ยินเสียงแอ๊ดดังขึ้นมาเบาๆ
เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมู่หวาฮุยผลักประตูเดินเข้ามา
แสงจันทร์สุกสกาวละมุนละไมดุจสายน้ำ สาดส่องเงาร่างที่เดิมก็สูงโปร่งให้ยิ่งทอดยาว แต่ก็เหมือนใส่ฟิลเตอร์ที่ให้แสงนุ่มนวลเข้ามาชั้นหนึ่ง ขับให้ทั่วร่างของเขาดูราวกับเทพเซียนที่เพิ่งจุติลงมาสู่ทางโลก
“ศิษย์พี่” เมิ่งถังเรียกเขาคำหนึ่ง ก้มตัวลงสวมรองเท้า
เมื่อครู่นางมองดูแล้ว บนร่างตนสวมชุดข้างในสีขาวที่สะอาดสะอ้าน ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนสกปรกที่นางสวมอยู่เดิมถูกเปลี่ยนออกไปแล้ว กระทั่งยังรู้สึกได้ว่าเนื้อตัวสดชื่นสบายคล้ายเพิ่งอาบน้ำมา
เมิ่งถังไม่กังวลแม้แต่น้อยว่ามู่หวาฮุยจะเป็นคนถอดชุดกระโปรงนางออกเปลี่ยนเป็นชุดสวมข้างใน กระทั่งยังอาบน้ำให้นาง ในใจของนาง มู่หวาฮุยเป็นบุรุษที่สุภาพสง่าผ่าเผยรู้จักยับยั้งชั่งใจควบคุมตนเอง เขาไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งมู่หวาฮุยเห็นนางเป็นดั่งน้องสาว ไม่มีความรู้สึกเสน่หาต่อนางแม้แต่ครึ่งส่วน
ดังนั้นจะต้องเรียกศิษย์หญิงคนอื่นมาช่วย หรือไม่ก็ใช้อาคมอะไรเป็นแน่
มู่หวาฮุยพอลงมือ กระดูกแขนที่หักของนางก็เชื่อมติดกันโดยสามารถมองเห็นด้วยสายตา เช่นนี้ยังจะมีเรื่องอันใดที่เป็นไปไม่ได้อีก
จึงสวมรองเท้าต่อไปโดยไม่รู้สึกหนักใจอะไร
สายตาของมู่หวาฮุยอดจับจ้องไปที่เท้าของนางไม่ได้
ในห้องทั้งสี่มุมมีมุกราตรีขนาดกำปั้นฝังอยู่ แสงนุ่มนวลละมุนละไมของมุกราตรีสาดส่องลงมาที่เท้าของนาง ขับให้เท้าทั้งสองขาวผ่องดุจหิมะ ข้อเท้าเรียวเล็กเพียงมือข้างเดียวก็กำได้รอบ
มู่หวาฮุยเบนสายตาออก เดินไปนั่งลงที่ข้างโต๊ะ
ครู่เดียวเมิ่งถังก็สวมรองเท้าเรียบร้อย หยิบเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกจากบนชั้นวางเสื้อที่อยู่ด้านข้างมาสวมใส่ เดินอย่างว่องไวมาที่โต๊ะแล้วนั่งลง
“ศิษย์พี่ ข้านอนไปนานเพียงใดหรือ”
ด้านนอกดวงจันทร์อยู่กลางท้องฟ้า คงไม่ใช่นางเพิ่งนอนหลับไปหนึ่งถึงสองชั่วยาม* กระมัง
“สามวันสามคืน” คำตอบของมู่หวาฮุยประสบความสำเร็จในการทำให้เมิ่งถังตื่นตระหนก
ที่แท้นางนอนหลับไปถึงสามวันสามคืน!
ทว่ามาคิดดูก็ใช่ เห็นอยู่ว่าก่อนหลับไปแขนซ้ายตรงที่บาดเจ็บยังเจ็บปวดอย่างที่สุด มาบัดนี้กลับเพียงปวดเมื่อยเล็กน้อย ถ้านอนเพียงหนึ่งถึงสองชั่วยามไหนเลยจะหายเจ็บได้ไวเช่นนี้
จึงร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง ยื่นมือไปพลิกถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะ จะรินน้ำชาให้ตนเองกับมู่หวาฮุยดื่ม
กาน้ำชาที่หิ้วขึ้นมากลับถูกมู่หวาฮุยเอาไปแล้ว พริบตาถัดมาเขาก็หยิบกาน้ำชาเครื่องเคลือบสีเขียวออกมาจากในแหวนเก็บทรัพย์ของตนใบหนึ่ง
น้ำชาที่รินลงถ้วยมีสีม่วงอ่อน ไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมา ดมดูมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึมซาบเข้าไปในหัวใจ
เมิ่งถังประหลาดใจ “ศิษย์พี่ นี่คืออะไร”
“ดอกจื่อหลิงหลัน” มู่หวาฮุยตอบสั้นได้ใจความ น้ำเสียงปกติยิ่ง คล้ายของสิ่งนี้เป็นเพียงดอกไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ข้างทางต้นหนึ่ง
แต่เมิ่งถังกลับตื่นตะลึงแล้ว
ตอนเรียนอยู่ในกระโจมห้องเรียนมีวิชาหลอมโอสถ นางจำได้ว่านางเคยได้ยินอาจารย์ผู้สอนเอ่ยในชั้นเรียนครั้งหนึ่ง ดอกจื่อหลิงหลันเป็นยาครอบจักรวาลในการรักษาอาการบาดเจ็บ เพียงเติบโตในทางเหนือที่หนาวยะเยือกมีแต่น้ำแข็งหิมะ
อีกทั้งจื่อหลิงหลันจะอยู่คู่กับงูศิลาน้ำแข็ง คิดจะเอาดอกจื่อหลิงหลันก็ต้องสังหารงูศิลาน้ำแข็งเสียก่อน
ได้ยินว่างูศิลาน้ำแข็งร้ายกาจยิ่ง ร่างแข็งแกร่งดุจศิลาน้ำแข็ง อ้าปากพ่นน้ำแข็งที่มีพิษร้ายแรงออกมา ถ้าไม่ระวังถูกพิษเข้าก็ต้องตายสถานเดียว เพราะเหตุนี้เองจื่อหลิงหลันจึงพบเห็นน้อยและหาได้ยากยิ่ง
เมิ่งถังก้มหน้าลงมองถ้วยชา แล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่หวาฮุย
เพื่อจะรักษาอาการบาดเจ็บของนาง มู่หวาฮุยถึงกับตั้งใจไปทางเหนือเก็บดอกจื่อหลิงหลันมาหรือ