บทที่ 5
เมิ่งถังได้ยินเสียงก็หันหน้าไป แล้วจึงเห็นว่าที่ใต้ต้นสนในลานด้านนอกประตู ไม่รู้มีคนผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด คนผู้นั้นสวมชุดเรียบง่ายสีดำอีกา เอวคาดสายรัดเอวสีเดียวกัน แต่ใบหน้าของเขากลับดูซีดขาว แม้นอกห้องแสงอาทิตย์จะอบอุ่น คนผู้นี้กลับยังคงทำให้คนรู้สึกถึงความเย็นเยือก
เมิ่งถังรู้ได้ทันที เขาก็คือหลิงซิงเหยา นางนึกถึงคำบรรยายเกี่ยวกับหลิงซิงเหยาในหนังสือนิยาย
‘ทั้งร่างดูเฉยเมย ถึงจะอยู่ท่ามกลางโลกมนุษย์ที่คึกคัก รอบตัวมีฝูงชนจอแจพลุกพล่านก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขาแม้แต่น้อย’
ช่วงท้ายยังบรรยายถึงความในใจของเขา
‘ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ นอกจากอวิ๋นชูเยวี่ยแล้ว เขาล้วนไม่เอามาใส่ใจ’
จะพูดอย่างไรดี ตอนเมิ่งถังอ่านมาถึงตรงนี้ก็แอบร้องขอความเป็นธรรมแทนบิดามารดาบุญธรรมและอาจารย์ของเขา
คิดไม่ถึงว่าบิดามารดาบุญธรรมที่ลำบากลำบนเลี้ยงดูท่านมา สุดท้ายทั้งคู่ยังเสียสละชีวิตเพื่อช่วยชีวิตท่าน อาจารย์ของท่านทุ่มเทกายใจอบรมสั่งสอนท่านจนมีความสามารถ ภายหลังก่อนตายยังถ่ายทอดพลังวัตรทั้งหมดของตนให้กับท่าน ท่านกลับไม่มีพวกเขาอยู่ในใจ
นี่ไม่ใช่หมาป่าตาขาว* แล้วจะเป็นอะไรได้
ดังนั้นแม้เมิ่งถังจะเป็นคนที่ชื่นชอบคนที่รูปร่างหน้าตาคนหนึ่ง ครั้งนี้ตอนเห็นหลิงซิงเหยา นางยังคงเบือนหน้าไปด้วยสีหน้าเฉยเมย
พระเอกที่จิตใจแห้งแล้งเย็นชา ไม่เคยรู้ว่าการสำนึกในบุญคุณคือสิ่งใด โทษดินโทษฟ้า วันยังค่ำเอาแต่รู้สึกว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรม คนทั้งโลกล้วนติดค้างเขา อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะทำลายล้างโลกให้พินาศย่อยยับ นางอยู่ให้ห่างจากเขาจะดีกว่า
ในโลกนี้มีคนมากน้อยเท่าไรที่โชคชะตาระหกระเหินต้องผ่านความทุกข์ยากต่างๆ นานา แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวังและมีจิตใจที่ดีงาม ไม่เคยโทษฟ้าดินโทษผู้อื่น พาลพาโลไปทั่วเพียงเพราะตนมีชีวิตที่ยากลำบาก
มู่หวาฮุยก็คือคนที่เป็นเช่นนี้คนหนึ่ง โลกจุมพิตข้าด้วยความเจ็บปวด ข้าจะตอบแทนด้วยเสียงเพลง** ด้วยเหตุนี้สุดท้ายเมื่อรู้จุดจบของเขา เมิ่งถังจึงได้ปวดใจมากเพียงนั้น
เมิ่งถังหันหน้ากลับมาก็เห็นขอบตาทั้งสองของอวิ๋นชูเยวี่ยยิ่งแดงขึ้น อีกทั้งหยดน้ำในดวงตาก็มาเกาะกลุ่มรวมกันราวกับพริบตาถัดมาก็จะหยาดหยดลงมาแล้ว
เมิ่งถังคิด มารดามันเถอะ ช่างเสแสร้งยิ่งนัก เมิ่งถังรู้สึกขนลุกชันไปทั้งร่าง
หญิงงามมีน้ำตาขังคลอ หลิงซิงเหยาย่อมปวดใจ สายตาที่มองอวิ๋นชูเยวี่ยละมุนละไมขึ้นไม่น้อย
ทว่าตอนสายตาของเขาเบนมาที่เมิ่งถังก็ยังคงเฉียบขาดเย็นชาดังเดิม
เมิ่งถังไม่สะทกสะท้าน กระทั่งคร้านจะมองเขา นั่งลงบนเก้าอี้จัดกระดาษพู่กันของตนไป
แม้หลิงซิงเหยากับเมิ่งถังจะเข้าเป็นศิษย์สำนักหมิงหวาในเวลาเดียวกัน แต่เขาบรรลุขั้นสร้างฐานอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ขั้นสร้างตัน ไม่ต้องมาเข้าห้องเรียนใหญ่นานแล้ว ตอนนี้ที่เขามาที่นี่ เพราะวิชาถัดไปเป็นวิชาหลอมโอสถ ผู้สอนคือศิษย์พี่ท่านหนึ่งแห่งยอดเขาปี้อวิ๋นของพวกนาง แต่ศิษย์พี่ท่านนี้มีธุระกะทันหันมาไม่ได้ จึงให้หลิงซิงเหยามาแจ้งให้ทราบ ให้พวกนางศึกษาด้วยตนเอง
ที่เรียกว่าศึกษาด้วยตนเอง นั่นก็คือตามสบาย
เมิ่งถังใช้ความเร็วสูงสุดเก็บข้าวของของตนไว้ในแหวนเก็บทรัพย์ แล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
เมื่อคืนนางเรียบเรียงความทรงจำของตนเองดูแล้ว พบว่าสำนักหมิงหวาเป็นสำนักใหญ่ ดังนั้นพวกนางที่เป็นศิษย์ในสำนักล้วนต้องฝึกวิชากระบี่ หลอมโอสถ อาวุธ ค่ายกล ดนตรีเหล่านี้ทั้งหมด
เมิ่งถังรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะไร้สาระ เพราะในความเห็นของนางจะมีสักกี่คนที่จะมีความสามารถรอบด้าน เชี่ยวชาญในทุกสิ่ง ไม่สู้เลือกสักอย่างสองอย่างที่ตนเชี่ยวชาญหรือมีความสนใจ แล้วทุ่มเทกำลังศึกษาจริงจัง เป็นผู้มีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่งก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เมิ่งถังเลือกเป้าหมายของตนได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือนางจะเป็นผู้ฝึกวิชากระบี่!
เพราะผู้ฝึกวิชากระบี่ต่อสู้ได้ร้ายกาจ ซ้ำยังข้ามขั้นท้ารบได้ มีอานุภาพน่าเกรงขามยิ่ง
ผู้ฝึกวิชาหลอมโอสถไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการพิจารณาของนางเลย ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินว่าอาจารย์วิชาหลอมโอสถมาไม่ได้ นางจึงหมุนตัวจะจากไปทันที
นางจะไปหามู่หวาฮุยเพื่อฝึกกระบี่
ช่างบังเอิญยิ่งนัก พอออกจากประตูลานนางก็เห็นมู่หวาฮุย จึงรีบวิ่งไปเรียกเขา “ศิษย์พี่”
มู่หวาฮุยได้ยินเสียงก็หันหน้ามา แล้วก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเมิ่งถัง
มู่หวาฮุยงงงันเล็กน้อย
หลายปีที่ผ่านมาศิษย์น้องผู้นี้ของเขาใบหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งเวลาเจอเขาก็จะก้มหน้าก้มตา ทว่านับแต่เมื่อวานนี้ เวลาศิษย์น้องมองคนกลับเงยหน้า และรู้จักยิ้มแล้ว
ยามแย้มยิ้มคิ้วของนางจะโค้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนเห็นแล้วอารมณ์ดีตามไปด้วย
มู่หวาฮุยยิ้มน้อยๆ พยักหน้า เรียกศิษย์น้องออกมาคำหนึ่ง แล้วถามนาง “อีกประเดี๋ยวจะเป็นวิชาหลอมโอสถ ศิษย์น้องจะไปที่ใดหรือ”
นี่เขาเข้าใจว่านางจะหนีเรียนหรือ