ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 5 – 6 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 5 – 6

เมิ่งถังชี้แจงต้นสายปลายเหตุ จากนั้นก็เอ่ยถาม “ศิษย์พี่ตอนนี้ท่านว่างหรือไม่ ข้าอยากจะฝึกกระบี่กับท่าน”

แม้มู่หวาฮุยจะเป็นศิษย์รุ่นที่สองของสำนักหมิงหวาเช่นเดียวกันกับเมิ่งถัง แต่พลังวัตรของเขากลับร้ายกาจที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นที่สอง กระทั่งยังมีฝีมือเหนือกว่าผู้อาวุโสของบางยอดเขา ทั่วทั้งแดนบำเพ็ญเซียนเมื่อเอ่ยถึงเขาขึ้นมา ไม่ว่าใครล้วนต้องกล่าวชมเชย

แต่คนที่มีพลังวัตรดีเช่นนี้ สุดท้ายเมื่อรู้ถึงความเป็นมาที่แท้จริงของตนกลับยินยอมให้ร่างแหลกสลายไป เมิ่งถังคิดแล้วก็รู้สึกเสียใจ สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความปวดใจและเสียดาย

ตอนแรกที่เมิ่งถังบอกจะฝึกกระบี่กับเขา มู่หวาฮุยก็ประหลาดใจแล้ว เวลานี้ไม่รู้เพราะเขาตาฝาดไปหรือไม่ มักรู้สึกว่าสายตาของเมิ่งถังที่มองเขาคล้ายมารดาเห็นบุตรที่ได้รับบาดเจ็บของตนเช่นนั้น…

มู่หวาฮุยอดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกว่าตนจะต้องคิดมากไปเป็นแน่

“ได้” เขาผงกศีรษะน้อยๆ หางตาเหลือบไปเห็นหลิงซิงเหยากำลังเดินออกมาจากในห้องเรียน

ในใจกระจ่างขึ้นมาทันที มิน่าเมื่อครู่ศิษย์น้องถึงได้เดินออกมาจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ที่แท้ก็เพราะศิษย์น้องหลิงอยู่ที่นี่

สำนักหมิงหวามีทั้งหมดสิบสองยอดเขา ในสำนักมีศิษย์นับพัน มู่หวาฮุยกับหลิงซิงเหยาไม่ได้อยู่สังกัดยอดเขาเดียวกัน ช่วงเวลาที่เข้าสำนักของคนทั้งสองก็ต่างกัน ปกติอยู่ร่วมกันน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคย

แต่เมื่อวานหลังจากได้รู้ว่าศิษย์น้องไม่เพียงชอบหลิงซิงเหยาผู้นี้ กระทั่งยังไปสารภาพความในใจกับเขาและถูกปฏิเสธมา ยามนี้มู่หวาฮุยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่ใจและมองเขาอย่างพินิจพิจารณา

ชายหนุ่มคิ้วรูปดาบ นัยน์ตาเป็นประกายดุจดวงดาว รูปร่างหน้าตาพูดได้ว่าหล่อเหลา เพียงแต่บุคลิกเคร่งขรึมเย็นชาไปสักหน่อย หัวคิ้วดวงตามีประกายดุดันอย่างชัดเจน

ที่แท้ศิษย์น้องก็ชอบคนเช่นนี้

แม้เมื่อวานนางจะพูดต่อหน้าเขาว่านางคิดตกแล้ว ต่อไปจะไม่ชอบหลิงซิงเหยาอีก แต่เรื่องของความรักไหนเลยบอกตัดก็ตัดได้ คิดว่าตอนนั้นศิษย์น้องเพียงอวดเก่งไปเท่านั้น หาไม่แล้วเมื่อครู่เหตุใดพอเห็นหลิงซิงเหยานางจึงหลบออกมา

เห็นชัดว่ายังวางไม่ลง พอเห็นหลิงซิงเหยาก็จะนึกถึงเรื่องที่สารภาพความในใจแล้วถูกปฏิเสธ ด้านหนึ่งก็เศร้าโศกเสียใจ อีกด้านหนึ่งเกรงว่าคงจะอับอาย ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์น้องของตน ไม่อาจทนเห็นนางอึดอัดลำบากใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อหน้าหลิงซิงเหยา ครั้นแล้วมู่หวาฮุยจึงขี่กระบี่พาเมิ่งถังกลับยอดเขาปี้อวิ๋น

หลิงซิงเหยาที่อยู่ด้านหลังมองตามเงาหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของพวกเขา ประกายในดวงตาขุ่นมัว

แต่หาใช่เพราะเมิ่งถัง หากแต่เป็นเพราะมู่หวาฮุย

เห็นอยู่ว่าอายุอยู่ในวัยเดียวกันกับเขา อีกทั้งตามที่ท่านอาจารย์กล่าว มู่หวาฮุยผู้นี้แม้สติปัญญาจะเหนือผู้อื่น แต่กลับเปรียบไม่ได้กับเทียนหลิงเกิน* ของเขา

เวลานี้พลังวัตรของมู่หวาฮุยกลับสูงกว่าเขามาก พอเอ่ยถึงมู่หวาฮุยทั้งแดนบำเพ็ญเซียนเป็นต้องสรรเสริญว่าเป็นผู้ปราดเปรื่องที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ส่วนเขาแม้ทุกอย่างจะเหนือผู้อื่นเช่นกัน แต่มีมู่หวาฮุยผู้โดดเด่นอยู่ข้างหน้า ยามคนอื่นพูดถึงเขาขึ้นมาก็เพียงบอก ‘อ้อ เป็นศิษย์น้องของมู่หวาฮุย’

หลิงซิงเหยาค่อยๆ กำหมัดแน่น

เขาจะต้องเหนือกว่ามู่หวาฮุยให้ได้ ต่อไปภายหน้าต้องให้ทุกคนพอพูดถึงมู่หวาฮุยก็บอก ‘อ้อ ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ของหลิงซิงเหยา’

 

แม้เมิ่งถังจะไม่กลัวความสูง แต่ขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้าสูงเป็นครั้งแรก ความรู้สึกยังคงน่าหวาดผวา

ตอนแรกนางยังพอแข็งใจยืนอยู่ข้างหลังมู่หวาฮุย ภายหลังก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นจับชายแขนเสื้อเขาไว้ และกอดแขนเขาไว้โดยไม่รู้ตัว ซ้ำยังหลับตาแน่น รอจนทั้งสองลงสู่พื้น มู่หวาฮุยเก็บกระบี่ยาวเสร็จแล้ว เมิ่งถังก็ยังไม่หายหวั่นหวาด ยังคงหลับตาทั้งสองข้าง กอดแขนเขาไว้แน่น เพียงเห็นก็รู้ว่ากลัวมาก

มู่หวาฮุยอดหัวเราะไม่ได้

หลายปีมานี้ศิษย์น้องเอาแต่เฉยเมยไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า บางครั้งเขายังเข้าใจว่าศิษย์น้องเป็นคนที่ทำมาจากก้อนหิน คิดไม่ถึงว่าเวลานี้นางกลับรู้จักกลัวแล้ว ดูเหมือนเขาลงจากเขาไปและกลับมาครั้งนี้ ศิษย์น้องก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

สายตากวาดผ่านไฝสีดำจางๆ ที่แก้มขวาบริเวณใกล้หูของเมิ่งถังอีกครั้ง มู่หวาฮุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ศิษย์น้อง ถึงแล้ว”

เมิ่งถังได้ยินก็ลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างระมัดระวัง สิ่งแรกที่ทำก็คือก้มหน้า

ดีมากที่ใต้ฝ่าเท้าก็คือพื้นดิน ไม่ใช่ความเวิ้งว้างที่สูงเกินหมื่นจั้ง* อีกต่อไป แต่เหตุใดในใจจึงยังคงรู้สึกไม่มั่นคง ร่างยังโงนเงนอยู่

มองสบดวงตาที่มีรอยยิ้มแฝงอยู่จางๆ ของมู่หวาฮุย เมิ่งถังก็ระบายลมหายใจออกมาช้าๆ ปล่อยมือทั้งสองที่กอดแขนมู่หวาฮุยอยู่ “ขอบคุณศิษย์พี่”

มู่หวาฮุยมองนางยิ้มๆ “กลัวการขี่กระบี่หรือ”

เมิ่งถังพลังวัตรยังไม่พอ ถึงตอนนี้ยังขี่กระบี่ไม่เป็น นางกระทั่งกระบี่คู่กายก็ยังไม่มี ดีที่บนยอดเขาทุกแห่งของสำนักหมิงหวาล้วนมีลานเคลื่อนย้าย นางอยากไปที่ใดก็สามารถใช้ลานเคลื่อนย้ายเหล่านี้ได้โดยตรง

มู่หวาฮุยรู้สึกว่าตนสะเพร่าแล้ว ศิษย์น้องไม่เคยขี่กระบี่ไปมาบนท้องฟ้ามาก่อน เมื่อครู่เขาควรใช้ลานเคลื่อนย้าย

“กลัว” เมิ่งถังพยักหน้ายอมรับตามตรง แต่หลังจากนั้นนางก็มีสีหน้าแน่วแน่มั่นคง “แต่อีกไม่นานข้าก็ไม่กลัวแล้ว เพราะข้าจะฝึกขี่กระบี่ให้เป็นในไม่ช้า”

มองท่าทางเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้ของนาง รอยยิ้มมุมปากของมู่หวาฮุยก็กว้างขึ้น

มีเพียงพลังวัตรผ่านขั้นสร้างฐานแล้วจึงจะขี่กระบี่ได้ ความหมายในคำพูดนี้ของศิษย์น้องก็คืออีกไม่นานนางก็จะบรรลุขั้นสร้างฐานแล้ว

แม้มู่หวาฮุยจะรู้ว่าสติปัญญาของเมิ่งถังนั้นธรรมดาสามัญ หลายปีมานี้ในด้านการฝึกฝนนางก็ไม่ได้พยายามเต็มที่นัก แต่อย่างไรการที่นางต้องการแสวงหาความก้าวหน้านั้นย่อมเป็นเรื่องดี เขาที่เป็นศิษย์พี่ผู้นี้ย่อมต้องให้ความร่วมมือ

ก็ไม่รู้ว่านี่ใช่เพราะศิษย์น้องเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลันหรือไม่ หรืออาจเพราะนางเพิ่งเสียใจจากความรัก จึงอยากแข็งแกร่งขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าหลิงซิงเหยา หรือต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตน เพื่อจะได้ลืมความเจ็บปวดเสียใจนั่น…

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดที่จู่ๆ ก็ทำให้นางเกิดสนใจการฝึกฝนขึ้นมา มู่หวาฮุยก็ยังคงสอนนางอย่างสุดความสามารถ

เมิ่งถังฝึกฝนอย่างตั้งอกตั้งใจและขยันหมั่นเพียร บ่อยครั้งที่มู่หวาฮุยบอกวันนี้ฝึกฝนเพียงเท่านี้ กลับไปพักผ่อนได้ เมิ่งถังกลับยังคงฝึกฝนไม่หยุด กระทั่งบางครั้งตอนกลางคืนมู่หวาฮุยนอนไม่หลับ คลุมเสื้อออกมาเดินเล่นก็ยังเห็นเมิ่งถังร่ายรำกระบี่อยู่ในป่ากระบี่ท่ามกลางแสงจันทร์

สาเหตุเพราะเมิ่งถังจำได้ชัดเจน ตามเนื้อเรื่องเดิมในหนังสือนิยาย ศิษย์สำนักหมิงหวาที่อยู่ในขั้นสร้างฐานขึ้นไปสามารถเข้าสุสานหมื่นกระบี่เลือกกระบี่หนึ่งเล่มและผูกพันธสัญญาต่อกัน ทุกสิบปีสุสานหมื่นกระบี่จะเปิดครั้งหนึ่ง นับเวลาดูแล้ว เดือนสามปีหน้าก็ห่างจากการเปิดสุสานครั้งก่อนสิบปีพอดี

อวิ๋นชูเยวี่ยก็ได้กระบี่ฉานเสวี่ย กระบี่เซียนชั้นหนึ่งจากสุสานหมื่นกระบี่ในครั้งนี้ ภายหลังนางก็ใช้กระบี่ฉานเสวี่ยเล่มนี้แทงเข้าไปที่ดวงจิตของมู่หวาฮุย

ดังนั้นเป้าหมายในตอนนี้ของเมิ่งถังก็คือต้องบรรลุขั้นสร้างฐานให้เร็วที่สุด ให้ทันสุสานหมื่นกระบี่เปิดในเดือนสามปีหน้า จึงจะเข้าสุสานพร้อมอวิ๋นชูเยวี่ยได้

นางจะต้องเอากระบี่ฉานเสวี่ยมาก่อนอวิ๋นเยวี่ยชูให้ได้ เช่นนี้วันหน้ามู่หวาฮุยจึงจะไม่ตายภายใต้กระบี่ฉานเสวี่ยของอวิ๋นชูเยวี่ย

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com