ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 5 – 6
เมิ่งถังชี้แจงต้นสายปลายเหตุ จากนั้นก็เอ่ยถาม “ศิษย์พี่ตอนนี้ท่านว่างหรือไม่ ข้าอยากจะฝึกกระบี่กับท่าน”
แม้มู่หวาฮุยจะเป็นศิษย์รุ่นที่สองของสำนักหมิงหวาเช่นเดียวกันกับเมิ่งถัง แต่พลังวัตรของเขากลับร้ายกาจที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นที่สอง กระทั่งยังมีฝีมือเหนือกว่าผู้อาวุโสของบางยอดเขา ทั่วทั้งแดนบำเพ็ญเซียนเมื่อเอ่ยถึงเขาขึ้นมา ไม่ว่าใครล้วนต้องกล่าวชมเชย
แต่คนที่มีพลังวัตรดีเช่นนี้ สุดท้ายเมื่อรู้ถึงความเป็นมาที่แท้จริงของตนกลับยินยอมให้ร่างแหลกสลายไป เมิ่งถังคิดแล้วก็รู้สึกเสียใจ สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความปวดใจและเสียดาย
ตอนแรกที่เมิ่งถังบอกจะฝึกกระบี่กับเขา มู่หวาฮุยก็ประหลาดใจแล้ว เวลานี้ไม่รู้เพราะเขาตาฝาดไปหรือไม่ มักรู้สึกว่าสายตาของเมิ่งถังที่มองเขาคล้ายมารดาเห็นบุตรที่ได้รับบาดเจ็บของตนเช่นนั้น…
มู่หวาฮุยอดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกว่าตนจะต้องคิดมากไปเป็นแน่
“ได้” เขาผงกศีรษะน้อยๆ หางตาเหลือบไปเห็นหลิงซิงเหยากำลังเดินออกมาจากในห้องเรียน
ในใจกระจ่างขึ้นมาทันที มิน่าเมื่อครู่ศิษย์น้องถึงได้เดินออกมาจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ที่แท้ก็เพราะศิษย์น้องหลิงอยู่ที่นี่
สำนักหมิงหวามีทั้งหมดสิบสองยอดเขา ในสำนักมีศิษย์นับพัน มู่หวาฮุยกับหลิงซิงเหยาไม่ได้อยู่สังกัดยอดเขาเดียวกัน ช่วงเวลาที่เข้าสำนักของคนทั้งสองก็ต่างกัน ปกติอยู่ร่วมกันน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคย
แต่เมื่อวานหลังจากได้รู้ว่าศิษย์น้องไม่เพียงชอบหลิงซิงเหยาผู้นี้ กระทั่งยังไปสารภาพความในใจกับเขาและถูกปฏิเสธมา ยามนี้มู่หวาฮุยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่ใจและมองเขาอย่างพินิจพิจารณา
ชายหนุ่มคิ้วรูปดาบ นัยน์ตาเป็นประกายดุจดวงดาว รูปร่างหน้าตาพูดได้ว่าหล่อเหลา เพียงแต่บุคลิกเคร่งขรึมเย็นชาไปสักหน่อย หัวคิ้วดวงตามีประกายดุดันอย่างชัดเจน
ที่แท้ศิษย์น้องก็ชอบคนเช่นนี้
แม้เมื่อวานนางจะพูดต่อหน้าเขาว่านางคิดตกแล้ว ต่อไปจะไม่ชอบหลิงซิงเหยาอีก แต่เรื่องของความรักไหนเลยบอกตัดก็ตัดได้ คิดว่าตอนนั้นศิษย์น้องเพียงอวดเก่งไปเท่านั้น หาไม่แล้วเมื่อครู่เหตุใดพอเห็นหลิงซิงเหยานางจึงหลบออกมา
เห็นชัดว่ายังวางไม่ลง พอเห็นหลิงซิงเหยาก็จะนึกถึงเรื่องที่สารภาพความในใจแล้วถูกปฏิเสธ ด้านหนึ่งก็เศร้าโศกเสียใจ อีกด้านหนึ่งเกรงว่าคงจะอับอาย ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์น้องของตน ไม่อาจทนเห็นนางอึดอัดลำบากใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อหน้าหลิงซิงเหยา ครั้นแล้วมู่หวาฮุยจึงขี่กระบี่พาเมิ่งถังกลับยอดเขาปี้อวิ๋น
หลิงซิงเหยาที่อยู่ด้านหลังมองตามเงาหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของพวกเขา ประกายในดวงตาขุ่นมัว
แต่หาใช่เพราะเมิ่งถัง หากแต่เป็นเพราะมู่หวาฮุย
เห็นอยู่ว่าอายุอยู่ในวัยเดียวกันกับเขา อีกทั้งตามที่ท่านอาจารย์กล่าว มู่หวาฮุยผู้นี้แม้สติปัญญาจะเหนือผู้อื่น แต่กลับเปรียบไม่ได้กับเทียนหลิงเกิน* ของเขา
เวลานี้พลังวัตรของมู่หวาฮุยกลับสูงกว่าเขามาก พอเอ่ยถึงมู่หวาฮุยทั้งแดนบำเพ็ญเซียนเป็นต้องสรรเสริญว่าเป็นผู้ปราดเปรื่องที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ส่วนเขาแม้ทุกอย่างจะเหนือผู้อื่นเช่นกัน แต่มีมู่หวาฮุยผู้โดดเด่นอยู่ข้างหน้า ยามคนอื่นพูดถึงเขาขึ้นมาก็เพียงบอก ‘อ้อ เป็นศิษย์น้องของมู่หวาฮุย’
หลิงซิงเหยาค่อยๆ กำหมัดแน่น
เขาจะต้องเหนือกว่ามู่หวาฮุยให้ได้ ต่อไปภายหน้าต้องให้ทุกคนพอพูดถึงมู่หวาฮุยก็บอก ‘อ้อ ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ของหลิงซิงเหยา’
แม้เมิ่งถังจะไม่กลัวความสูง แต่ขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้าสูงเป็นครั้งแรก ความรู้สึกยังคงน่าหวาดผวา
ตอนแรกนางยังพอแข็งใจยืนอยู่ข้างหลังมู่หวาฮุย ภายหลังก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นจับชายแขนเสื้อเขาไว้ และกอดแขนเขาไว้โดยไม่รู้ตัว ซ้ำยังหลับตาแน่น รอจนทั้งสองลงสู่พื้น มู่หวาฮุยเก็บกระบี่ยาวเสร็จแล้ว เมิ่งถังก็ยังไม่หายหวั่นหวาด ยังคงหลับตาทั้งสองข้าง กอดแขนเขาไว้แน่น เพียงเห็นก็รู้ว่ากลัวมาก
มู่หวาฮุยอดหัวเราะไม่ได้
หลายปีมานี้ศิษย์น้องเอาแต่เฉยเมยไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า บางครั้งเขายังเข้าใจว่าศิษย์น้องเป็นคนที่ทำมาจากก้อนหิน คิดไม่ถึงว่าเวลานี้นางกลับรู้จักกลัวแล้ว ดูเหมือนเขาลงจากเขาไปและกลับมาครั้งนี้ ศิษย์น้องก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
สายตากวาดผ่านไฝสีดำจางๆ ที่แก้มขวาบริเวณใกล้หูของเมิ่งถังอีกครั้ง มู่หวาฮุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ศิษย์น้อง ถึงแล้ว”
เมิ่งถังได้ยินก็ลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างระมัดระวัง สิ่งแรกที่ทำก็คือก้มหน้า
ดีมากที่ใต้ฝ่าเท้าก็คือพื้นดิน ไม่ใช่ความเวิ้งว้างที่สูงเกินหมื่นจั้ง* อีกต่อไป แต่เหตุใดในใจจึงยังคงรู้สึกไม่มั่นคง ร่างยังโงนเงนอยู่
มองสบดวงตาที่มีรอยยิ้มแฝงอยู่จางๆ ของมู่หวาฮุย เมิ่งถังก็ระบายลมหายใจออกมาช้าๆ ปล่อยมือทั้งสองที่กอดแขนมู่หวาฮุยอยู่ “ขอบคุณศิษย์พี่”
มู่หวาฮุยมองนางยิ้มๆ “กลัวการขี่กระบี่หรือ”
เมิ่งถังพลังวัตรยังไม่พอ ถึงตอนนี้ยังขี่กระบี่ไม่เป็น นางกระทั่งกระบี่คู่กายก็ยังไม่มี ดีที่บนยอดเขาทุกแห่งของสำนักหมิงหวาล้วนมีลานเคลื่อนย้าย นางอยากไปที่ใดก็สามารถใช้ลานเคลื่อนย้ายเหล่านี้ได้โดยตรง
มู่หวาฮุยรู้สึกว่าตนสะเพร่าแล้ว ศิษย์น้องไม่เคยขี่กระบี่ไปมาบนท้องฟ้ามาก่อน เมื่อครู่เขาควรใช้ลานเคลื่อนย้าย
“กลัว” เมิ่งถังพยักหน้ายอมรับตามตรง แต่หลังจากนั้นนางก็มีสีหน้าแน่วแน่มั่นคง “แต่อีกไม่นานข้าก็ไม่กลัวแล้ว เพราะข้าจะฝึกขี่กระบี่ให้เป็นในไม่ช้า”
มองท่าทางเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้ของนาง รอยยิ้มมุมปากของมู่หวาฮุยก็กว้างขึ้น
มีเพียงพลังวัตรผ่านขั้นสร้างฐานแล้วจึงจะขี่กระบี่ได้ ความหมายในคำพูดนี้ของศิษย์น้องก็คืออีกไม่นานนางก็จะบรรลุขั้นสร้างฐานแล้ว
แม้มู่หวาฮุยจะรู้ว่าสติปัญญาของเมิ่งถังนั้นธรรมดาสามัญ หลายปีมานี้ในด้านการฝึกฝนนางก็ไม่ได้พยายามเต็มที่นัก แต่อย่างไรการที่นางต้องการแสวงหาความก้าวหน้านั้นย่อมเป็นเรื่องดี เขาที่เป็นศิษย์พี่ผู้นี้ย่อมต้องให้ความร่วมมือ
ก็ไม่รู้ว่านี่ใช่เพราะศิษย์น้องเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างฉับพลันหรือไม่ หรืออาจเพราะนางเพิ่งเสียใจจากความรัก จึงอยากแข็งแกร่งขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าหลิงซิงเหยา หรือต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตน เพื่อจะได้ลืมความเจ็บปวดเสียใจนั่น…
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดที่จู่ๆ ก็ทำให้นางเกิดสนใจการฝึกฝนขึ้นมา มู่หวาฮุยก็ยังคงสอนนางอย่างสุดความสามารถ
เมิ่งถังฝึกฝนอย่างตั้งอกตั้งใจและขยันหมั่นเพียร บ่อยครั้งที่มู่หวาฮุยบอกวันนี้ฝึกฝนเพียงเท่านี้ กลับไปพักผ่อนได้ เมิ่งถังกลับยังคงฝึกฝนไม่หยุด กระทั่งบางครั้งตอนกลางคืนมู่หวาฮุยนอนไม่หลับ คลุมเสื้อออกมาเดินเล่นก็ยังเห็นเมิ่งถังร่ายรำกระบี่อยู่ในป่ากระบี่ท่ามกลางแสงจันทร์
สาเหตุเพราะเมิ่งถังจำได้ชัดเจน ตามเนื้อเรื่องเดิมในหนังสือนิยาย ศิษย์สำนักหมิงหวาที่อยู่ในขั้นสร้างฐานขึ้นไปสามารถเข้าสุสานหมื่นกระบี่เลือกกระบี่หนึ่งเล่มและผูกพันธสัญญาต่อกัน ทุกสิบปีสุสานหมื่นกระบี่จะเปิดครั้งหนึ่ง นับเวลาดูแล้ว เดือนสามปีหน้าก็ห่างจากการเปิดสุสานครั้งก่อนสิบปีพอดี
อวิ๋นชูเยวี่ยก็ได้กระบี่ฉานเสวี่ย กระบี่เซียนชั้นหนึ่งจากสุสานหมื่นกระบี่ในครั้งนี้ ภายหลังนางก็ใช้กระบี่ฉานเสวี่ยเล่มนี้แทงเข้าไปที่ดวงจิตของมู่หวาฮุย
ดังนั้นเป้าหมายในตอนนี้ของเมิ่งถังก็คือต้องบรรลุขั้นสร้างฐานให้เร็วที่สุด ให้ทันสุสานหมื่นกระบี่เปิดในเดือนสามปีหน้า จึงจะเข้าสุสานพร้อมอวิ๋นชูเยวี่ยได้
นางจะต้องเอากระบี่ฉานเสวี่ยมาก่อนอวิ๋นเยวี่ยชูให้ได้ เช่นนี้วันหน้ามู่หวาฮุยจึงจะไม่ตายภายใต้กระบี่ฉานเสวี่ยของอวิ๋นชูเยวี่ย