ตอนเห็นมู่หวาฮุยครั้งแรก นางก็ส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในใจ รู้สึกว่ามู่หวาฮุยหล่อเหลาสุภาพอ่อนโยนยิ่งกว่าที่ตนนึกภาพไว้ ยามนี้มองดูแล้วไม่ต่างอะไรกับหยกงามชิ้นหนึ่ง ท่ามกลางแสงเทียนสว่างไสวแวววาว ดูสุภาพอ่อนโยนละมุนละไม ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกสูงส่งเหนือผู้คน มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงเกินอย่างหนึ่ง
เคลิบเคลิ้มอยู่กับรูปโฉมของมู่หวาฮุยจนเกินไป ตอนอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาเมิ่งถังยังคงมองจ้องเขาอย่างโง่งม
“อะไร บนใบหน้าของข้ามีอันใดไม่เหมาะสมหรือ” มู่หวาฮุยถามเมิ่งถังด้วยความสงสัย
ใบหน้าของท่านไหนเลยยังจะมีอันใดไม่เหมาะสม ต้องบอกว่าเหมาะสมเกินไปแล้ว! ทุกจุดล้วนเหมาะเจาะเหมาะสม!
เมิ่งถังเก็บสายตาลุ่มหลงของตนกลับมา ตอบอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ไม่มี ข้ากำลังคิดว่าศิษย์พี่อธิษฐานสิ่งใดอยู่”
มู่หวาฮุยยิ้มน้อยๆ และไม่ได้ซักไซ้ต่อ ก้มตัววางโคมดอกบัวลงในแม่น้ำลั่ว
แสงเทียนนวลตาส่องสว่างผิวน้ำผืนเล็กที่อยู่รอบๆ เมื่อลมพัดมาระลอกคลื่นพลิ้วไหว โคมดอกบัวค่อยๆ ลอยห่างออกไป
เมิ่งถังอยากรู้มากว่ามู่หวาฮุยอธิษฐานว่าอะไร แต่ไม่ว่านางจะถามอย่างไร มู่หวาฮุยก็ได้แต่ยิ้มไม่พูด สุดท้ายยังย้อนถามนาง “เจ้าล่ะ อธิษฐานอะไร”
“ข้าหรือ”
เมิ่งถังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าหวังว่าชั่วชีวิตนี้ของศิษย์พี่จะสงบสุขราบรื่น ยิ้มแย้มเบิกบานไร้กังวล และหวังว่าต่อไปภายหน้าตนจะฝึกฝนวรยุทธ์ได้อย่างเหนื่อยน้อยได้ผลมาก แข็งแกร่งขึ้นมาได้โดยเร็ว” เช่นนี้ต่อไปจึงจะสามารถเฝ้าปกป้องท่านได้ดียิ่งขึ้น
มู่หวาฮุยตะลึงงันไปเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงในความมุ่งมาดปรารถนาของเมิ่งถังถึงกับมีเขาอยู่ อีกทั้งยังเรียงลำดับเขาให้อยู่หน้าตัวนางเองอีกด้วย พลันนึกไปถึงแม่นมขึ้นมา
ในความทรงจำของเขาแม่นมอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับแรก เป็นความอบอุ่นเพียงอย่างเดียวในวัยเด็กที่อ้างว้างเดียวดายของเขา แต่ภายหลังแม่นมกลับเสียชีวิตอย่างมีลับลมคมในยิ่ง
เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพที่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงก็จะทำให้ส่วนลึกของจิตวิญญาณเขาต้องสั่นสะท้าน
เขาในวัยเด็กผลักประตูห้องที่ปิดสนิทให้เปิดออก เห็นเงาร่างของแม่นมอยู่ด้านหลังฉากบังลมผ้าโปร่งบางสีขาว
ร้องเรียกแม่นมออกไปคำหนึ่ง เขาก้าวข้ามธรณีประตู รอจนเขาเดินอ้อมฉากบังลมไปก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เขาต้องตื่นตระหนกหวาดผวา
แม่นมของเขานอนหงายอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเขียว มือข้างหนึ่งห้อยตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่กลับมีหนูรูปร่างใหญ่โตหลายตัวเกาะอยู่บนใบหน้าบนแขนของแม่นมกำลังกัดแทะเนื้อหนังของนาง
กระทั่งเขาใช้มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างออกแรงที่มีอยู่ทั้งหมดผลักฉากบังลมให้ล้มลงไป เสียงฉากบังลมกระแทกพื้นทำให้หนูเหล่านั้นตกใจ พวกมันถึงได้ส่งเสียงจี๊ดๆ ลากหางเรียวยาววิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปคนละทิศคนละทาง
ทว่าใบหน้าทั้งของแม่นม แขน มือ เท้าที่อยู่ด้านนอกได้ถูกกัดแทะจนเห็นกระดูกขาวโพลนแล้ว…
เมิ่งถังกำลังมองโคมดอกบัวที่กะพริบวิบวับอยู่บนผิวน้ำ หางตาพลันสังเกตเห็นมู่หวาฮุยก้มหน้าค้อมเอว ไหล่ทั้งสองสั่นเล็กน้อย คล้ายกำลังข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก
เมิ่งถังตกใจ รีบยื่นมือไปประคองเขา ถามไม่ขาดปาก “ศิษย์พี่ ท่านเป็นอันใดไป”
ช่วงที่ผ่านมามู่หวาฮุยศิษย์พี่ผู้นี้ ในสายตาของนางไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่เป็น ภูเขาไท่ซาน* ถล่มลงมาตรงหน้าก็สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยังคงมีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่บนใบหน้า แต่ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน นี่จึงทำให้เมิ่งถังตกใจอย่างแท้จริง แม้แต่เสียงยังสั่นโดยไม่รู้ตัว
ดีที่ไม่นานมู่หวาฮุยก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
“ข้าไม่เป็นไร” เขาเงยหน้าขึ้น มุมปากแฝงรอยยิ้มจางๆ กลับไปเป็นศิษย์พี่ที่สุขุมเยือกเย็นเช่นปกติผู้นั้นแล้ว
เมิ่งถังเห็นชัดว่าไม่เชื่อ
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เมิ่งถังเป็นคนที่อ่านเนื้อหาในหนังสือนิยายในส่วนที่เกี่ยวกับมู่หวาฮุยมาอย่างละเอียด ไหนเลยจะไม่รู้ว่าภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสงบนิ่งของมู่หวาฮุยมีเงาดำที่น่ากลัวในวัยเด็กอยู่มากเพียงใด
เมื่อครู่ศิษย์พี่คงนึกถึงเรื่องไม่ดีในอดีตเหล่านั้นกระมัง
เมิ่งถังกังวลว่าจะถูกมู่หวาฮุยมองเห็นพิรุธในตัวนาง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ควรปลอบใจอย่างไร จำต้องพูดเรื่องอื่นเรื่องโน้นนิดเรื่องนี้หน่อยไป เพื่อเบนความสนใจของมู่หวาฮุยไปจากเดิม
แล้วชี้ไปยังผู้คนบนฝั่งที่มาลอยโคม เริ่มพูดจาไปเรื่อยเปื่อยอย่างจริงจัง
“ศิษย์พี่ ท่านดูท่านตากับท่านยายคู่นั้นช่างรักใคร่กันดียิ่ง มาถึงวัยนี้แล้วยังจับจูงมือกันมาลอยโคมด้วยกันได้ ยังมีสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้น อุ้มบุตรสาวของพวกเขามาลอยโคมในแม่น้ำ แม่หนูน้อยหน้าตาหน้าเอ็นดูเสียจริง หนุ่มสาวคู่หนึ่งทางด้านนั้น ศิษย์พี่ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเดาว่าพวกเขาสองคนยังไม่ได้แต่งงานกัน ทั้งสองคนกระทั่งมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งก็ยังหน้าแดงต้องเบือนหน้าหนี ยังมีสองคนทางด้านโน้น…”
เมิ่งถังพูดต่อไปไม่ได้แล้ว
เพราะนางพบว่าสองคนนั้นคือหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย
ให้ตายสิ! อวิ๋นชูเยวี่ยที่เจอหน้ากันที่กระโจมห้องเรียนทุกวัน บางครั้งเจอหลิงซิงเหยาบ้างก็แล้วไปเถอะ เหตุใดตอนนี้มาถึงแดนมนุษย์แล้วก็ยังเจอสองคนนี้อีก