บทที่ 9
ตัวของมู่หวาฮุยยังอยู่กลางอากาศก็เห็นสถานการณ์การต่อสู้ที่ด้านล่างอย่างชัดเจนแล้ว
เขารวบรวมปราณวิเศษไว้ที่กระบี่ วาดผ่านอากาศจากบนลงล่าง มารอสูรสามตนที่มีพลังวัตรสูงสุดถูกฟาดใส่ทันที หมอกโลหิตสีแดงเข้มแตกกระจายออกมา มู่หวาฮุยโอบร่างเมิ่งถังลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวลดุจปุยหิมะ
ปราณวิเศษของมู่หวาฮุยยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เมื่อครู่ตอนพาเมิ่งถังขี่กระบี่เข้ามาถึงกับไม่มีมนุษย์และไม่มีมารสังเกตเห็น จู่ๆ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ มนุษย์และมารที่กำลังต่อสู้กันอยู่ต่างตะลึงงัน พากันหยุดใช้อาวุธในมือ หันหน้ามองมา
ก็เห็นบุรุษหล่อเหลาสง่างามดุจหยกผู้หนึ่งกับหญิงสาวงามเพริศพริ้งอรชรผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาราวกับตกมาจากฟากฟ้า ในมือบุรุษผู้นั้นกุมกระบี่ยาวไอกระบี่เย็นยะเยือกยังคงอยู่คล้ายว่าพริบตาถัดมาก็จะกวัดแกว่งมาที่พวกเขา…
บุรุษผู้นี้เป็นใครกัน ถึงกับแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ กระบี่เดียวก็สังหารมารอสูรไปสามตน ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพลังมารขั้นสูงสุดในหมู่มารเหล่านี้
เหล่ามารที่เหลืออยู่ในใจล้วนเกิดความหวาดกลัว กระทั่งมีสองตนที่ถอยหลังไปเงียบๆ
ส่วนหลายคนที่สวมชุดสีครามต่างมีสีหน้าดีใจ
เดิมคิดว่าถูกเหล่ามารโอบล้อมโจมตี พวกตนคงต้องสิ้นชื่ออยู่ที่นี่แน่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีคนลงจากฟากฟ้ามาช่วยเหลือ แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่กระบี่พร้อมปราณวิเศษเมื่อครู่ก่อนบริสุทธิ์เพียงนั้นจะต้องเป็นศิษย์สำนักบำเพ็ญเซียนที่ใดสักแห่งเป็นแน่ มีคนผู้นี้อยู่คิดว่าวันนี้ชีวิตของพวกตนคงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว
กระทั่งเป็นไปได้ว่าพวกตนคงไม่ต้องลงมือแล้ว
เพราะเพียงกระบี่เดียวเมื่อครู่ของคนผู้นี้ก็จัดการมารอสูรสามตนที่ร้ายกาจที่สุดไปได้ มารที่เหลืออยู่เหล่านี้ แม้จะมีจำนวนมาก แต่เกรงว่าเขากวัดแกว่งกระบี่ไม่กี่ครั้งก็คงจัดการได้ทั้งหมด
เหนือความคาดหมายหลังจากลงสู่พื้นแล้ว มู่หวาฮุยกลับไม่มีท่าทีจะลงมืออีก หากแต่พลิกฝ่ามือโยนกระบี่อู๋จี๋ให้เมิ่งถัง มือข้างหนึ่งไพล่หลังเหมือนไม่มีอะไร
“ศิษย์น้อง มารอสูรที่เหลือมอบให้เจ้า”
การคลุกคลีอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำมาครึ่งปีเพียงพอให้เมิ่งถังเข้าใจมู่หวาฮุยแล้ว
คิดดูแล้วเมื่อครู่ที่พอมาถึงก็จัดการมารอสูรสามตนที่ลำดับขั้นร้ายกาจที่สุดไปในกระบี่เดียว แต่เหลือมารอื่นๆ ไว้ คงเพราะต้องการจะทิ้งมารอสูรกลุ่มนี้ให้นางได้ทดสอบฝีมือ
อย่าเห็นว่าเวลานี้เมิ่งถังผ่านขั้นสร้างฐานแล้ว มู่หวาฮุยเองก็ทดสอบฝีมือนางอยู่เสมอ แต่นางยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่แท้จริงแม้แต่น้อย บัดนี้จู่ๆ ได้รับโอกาสเช่นนี้ นางกลับไม่ค่อยกลัว แต่ยังคงมีความลังเลเล็กน้อย
ศิษย์พี่ไม่รู้ แต่นางรู้อย่างกระจ่างแจ้ง บิดาผู้ให้กำเนิดของศิษย์พี่เป็นอดีตรัชทายาทเผ่ามาร อีกทั้งศิษย์พี่ยังเป็นเผ่าพันธุ์มารโดยกำเนิด ทว่าถูกมารดาผู้ให้กำเนิดผนึกกระดูกมารเอาไว้ เรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดรู้มาก่อน
มารอสูรที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้ พูดขึ้นมาแล้วความจริงก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับศิษย์พี่…
ในชั่วขณะที่นางลังเลอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็มีมารตนหนึ่งหมุนตัวจะหลบหนี ศิษย์หญิงอายุน้อยที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเห็นแล้ว รีบขยับกระบี่เข้าไปขวาง
กลับถูกมารตนนั้นใช้ลูกตุ้มดาวตกในมือที่หนักเกินร้อยชั่ง โจมตีเข้าที่หน้าอกอย่างแม่นยำ
ศิษย์หญิงผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของนางปลิวไปกระแทกกับผาหินที่อยู่ด้านข้างราวกับว่าวกระดาษที่ขาดลอยในทันที
เมิ่งถังเห็นแล้ว ความลังเลในใจก็ไม่มีอีก
นางรู้สิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ไม่ว่ามนุษย์หรือมารล้วนแบ่งเป็นดีชั่ว แต่มารรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เห็นชัดว่าล้วนยังไม่เปิดปัญญา รู้จักแต่เข่นฆ่าสังหารอย่างเหี้ยมโหด
ไม่มีใครมีสิทธิ์ช่วงชิงชีวิตผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุ ในเมื่อเป็นเช่นนี้มารเหล่านี้ย่อมสมควรตาย
นางรับกระบี่มากุมไว้ในมือ จากนั้นสูดลมหายใจเข้าแล้วทะยานขึ้น โผลงไปที่กลางฝูงมารด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วว่องไวขึ้นดุจกระต่ายลงดั่งเหยี่ยวโฉบ
มู่หวาฮุยเดิมทียังห่วงว่าเมิ่งถังทำศึกจริงเป็นครั้งแรกจะรู้สึกกลัว สายตาไล่ตามนางไปตลอดเวลา
คิดไม่ถึงว่าใบหน้าของศิษย์น้องดูแล้วไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ขณะเคลื่อนไหวขยับมือขึ้นลง ท่วงท่าคล่องแคล่วสง่างามยิ่ง กวัดแกว่งกระบี่อู๋จี๋เป็นประกายสว่างสดใสดุจหิมะ ประกายกระบี่วาดผ่านไปทางใด เหล่ามารอสูรต่างไม่อาจต้านได้
รอจนร่างใหญ่โตมหึมาของมารอสูรตัวสุดท้ายล้มตึงลงกับพื้น เมิ่งถังถือกระบี่ยืนอยู่กับที่ ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า เมื่อครู่ตลอดเวลาในใจของนางไม่มีความหวาดกลัวจริง เพราะนางรู้มีมู่หวาฮุยอยู่ เขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง
แต่จะอย่างไรนี่ก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตครั้งแรกของนาง ถึงพวกนี้จะเป็นเพียงมารอสูรชั้นต่ำก็ตาม…
ขณะงงงวยทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นจากไกลเข้ามาใกล้
ในสายตาที่หลุบต่ำเห็นชายเสื้อสีขาวแถบหนึ่ง หยกประดับสีเขียวเข้มผูกอยู่กับเส้นไหมฟั่นเกลียวที่ห้อยอยู่ตรงช่วงเอว
มือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกระชับด้ามกระบี่ นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ
ไอมารดำมืดที่อยู่บริเวณรอบๆ สลายไปแล้ว ประกายหิมะสีขาวเพียงพอที่จะส่องสว่างทั่วบริเวณ