ตอนนั้นซูเสวี่ยจื้อระบายความไม่พอใจที่มีต่อแม่ซึ่งเก็บสะสมไว้โดยตลอดออกมาทั้งหมด พูดโดยไม่ยั้งปากว่าแม่เธอโลภมากตั้งหน้าตั้งตาหาเงินอย่างเดียว และเพราะแค้นใจที่เธอไม่ใช่ลูกชาย ถึงได้เย็นชาใจร้าย ชอบบังคับเจ้ากี้เจ้าการกับเธอ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่สมัยโบราณแล้ว คนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ถ้ากำหนดชีวิตของตนเองไม่ได้ก็ขอตายดีกว่า ตอนหลังยังตำหนิแม่ตนเองว่าเป็นคนจอมปลอม หน้าไหว้หลังหลอก ทำให้พ่อเธอที่ตายไปต้องเสื่อมเสีย
นี่น่าจะเป็นคำนี้เองที่ยั่วโมโหเยี่ยอวิ๋นจิ่น เธอโกรธจนหน้าเขียว และตบหน้าลูกสาวฉาดหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงนั่นขึ้น
“คุณหนู คุณฟังอยู่หรือเปล่า”
เสียงถอนใจดังขึ้นที่ข้างหู
ซูชิงชิงหันหน้าไปสบสายตาหงเหลียนที่มองตนเองอยู่
เธอรับรู้ได้ถึงความรักใคร่ห่วงใยว่าที่อี๋เหนียง* เท้าเล็กคนนี้มีต่อเธอหรือก็คือซูเสวี่ยจื้อด้วยน้ำใสใจจริง เห็นอีกฝ่ายทำสีหน้ากลัดกลุ้ม ในดวงตาแฝงรอยประจบเอาใจแกมระมัดระวังแล้วนึกสงสารอยู่บ้าง จึงรับคำเสียงอ้อมแอ้ม “ฟังอยู่…ขอบคุณค่ะน้าหง…”
หลังจากคุณหนูไปเรียนหนังสือที่เมืองเฉิงตูสองปีนี้ ความสัมพันธ์กับนายหญิงก็มึนตึงขึ้นทุกที ซ้ำยังมาพาลโกรธเธอไปด้วย มักมองว่าเธอเป็น ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ หรือ ‘ทาสรับใช้’ เลยไม่ยอมเรียกเธอว่า ‘น้าหง’ มานานมากแล้ว จู่ๆ ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองเหมือนสมัยยังเด็ก หงเหลียนจึงตะลึงงันไปเล็กน้อย ขอบตาร้อนผ่าวฉับพลันอย่างปลื้มปีติ เธอรีบเบือนหน้าไปอีกทางแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าที่ซุกไว้ในแขนเสื้อออกมาเช็ดๆ หางตาอย่างว่องไว ก่อนพูดด้วยหน้ายิ้มแย้มดังเก่า “ฟังเข้าหูก็ดีเจ้าค่ะๆ…คุณหนูหิวไหม น้าไปหยิบของกินมาให้นะ…”
ซูชิงชิงส่ายหน้าบอกว่าไม่หิว หงเหลียนนั่งอยู่ริมเตียง ยื่นมือสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วนวดท้องให้หญิงสาว ถามว่าเดี๋ยวนี้ช่วงที่มีระดูยังปวดท้องมากอีกไหม แต่นวดไปสองสามทีแล้วเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงยื่นมือไปเปิดสาบเสื้อของเธออีก
บนตัวซูชิงชิงสวมเสื้อคลุมป้ายข้างสีขาวของผู้ชาย เธอไม่รู้ว่าเจตนาของหงเหลียนคืออะไร เพียงมองดูอีกฝ่ายถอดเสื้อให้ตนเอง
หงเหลียนแกะกระดุมถักเชือกบนเสื้อคลุมสีขาวของเธอออกจนเห็นเสื้อชั้นในแนบตัว แล้วกวาดตามองหน้าอกของเธอ
หลังจากถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำวันนั้น หงเหลียนเช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้แล้วไม่ได้รัดอก ดังนั้นหน้าอกของซูชิงชิงในตอนนี้จึงเปลือยเปล่าอยู่
เธอกางนิ้วมือออกทำท่ากะๆ วัดๆ ขนาดทั้งแนวตั้งแนวขวาง จากนั้นพูดเสียงเบาๆ ว่า “…ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้นกว่าเดิมนะเจ้าคะ…รัดแน่นๆ คงไม่สบาย…ดีที่ใกล้จะอากาศหนาวแล้ว คุณหนูพันหลวมขึ้นได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องแน่นเกินไป ถึงอย่างไรเราก็มีเสื้อตัวนอกหนาๆ บังไว้…ส่วนผ้ารัดอกหลายผืนของเดิมที่เป็นผ้าไหมหู* พวกนั้นบางไปแล้ว พักก่อนน้าเพิ่งเย็บใหม่อีกสองสามผืน เป็นผ้าที่สั่งให้คนทอจากเส้นใยฝ้ายโดยเฉพาะ เนื้อเบาแต่อุ่น ทั้งยังนุ่มนิ่มสบายตัว ไม่บาดผิวให้เจ็บแน่ คืนนี้น้าจะเอามาให้คุณหนูลองดู…”
ซูชิงชิงเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าที่แท้หงเหลียนกะขนาดรอบอกของเธออยู่เพื่อทำแถบผ้ารัดอกที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ
เธอก้มหน้ามองหน้าอกของตนเอง
ซูเสวี่ยจื้อย่างเข้าวัยสิบแปดปีเต็มพอดี ถึงแม้จะรัดอกตอนกลางวันมาเป็นเวลานาน แต่การเจริญเติบโตทางร่างกายยังนับว่าพอใช้ได้
ขณะหงเหลียนวัดสัดส่วนด้วยนิ้วมืออยู่ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นลอยมาจากนอกประตูอีกระลอกหนึ่ง จากนั้นประตูก็ถูกคนเปิดผลัวะออก
หงเหลียนตกใจยกใหญ่ รีบดึงสาบเสื้อกลับเข้าที่ให้เธออย่างว่องไว ครั้นหันหน้าไปเห็นว่าเป็นสาวใช้ชื่อว่าเสี่ยวชุ่ยพรวดพราดเข้ามาก็ด่าทออย่างฉุนเฉียว “มีสมองไหม นึกว่ากฎระเบียบในบ้านตั้งขึ้นเล่นๆ หรืออย่างไร ใครอนุญาตให้แกทะเล่อทะล่าเข้ามา มีปากไม่รู้จักใช้ เดี๋ยวฉันจะฉีกปากแกโยนให้หมากินไปซะเลย”
เสี่ยวชุ่ยโดนหงเหลียนด่าฉอดๆ จนตั้งรับไม่ทัน จึงลนลานถอยออกไปนอกธรณีประตูและเอามือเกาะประตู ตะโกนบอกปนเสียงหอบ “แย่แล้วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว นายท่านเยี่ยเจอโจรป่าดักปล้นระหว่างทางมาที่นี่จนเกือบโดนฆ่าตาย โชคดีท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งผ่านมาช่วยเอาไว้แล้วพามาส่ง นายท่านเยี่ยเลือดออกท่วมตัว ทำเอาฉันตกใจแทบตาย นายหญิงบอกให้น้าหงรีบไปหยิบยาฝิ่น เจ้าค่ะ”
ยาฝิ่นถูกเก็บรักษาไว้ในห้องคลัง ส่วนกุญแจอยู่ที่หงเหลียน พอเธอได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด เท้ากระทืบพื้นปากสบถว่า ‘พวกสารเลว’ แล้วพูดกำชับซูชิงชิงว่าอย่าออกไปเพ่นพ่าน ก่อนหมุนตัวสาวเท้าเล็กๆ วิ่งกระย่องกระแย่งออกไป
เสี่ยวชุ่ยก็ตามออกไปด้วย ในห้องจึงเหลือแต่ซูชิงชิงคนเดียว
ซูชิงชิงนอนต่ออีกครู่หนึ่งก็อดรนทนไม่ไหวเหมือนกัน เธอลุกลงจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกของผู้ชายที่วางอยู่ในห้องมาสวมอย่างลวกๆ แล้วเสยผมสั้นๆ ให้เข้าที่ ตั้งท่าจะออกจากห้อง แต่พอเดินไปถึงหน้าประตูก็ก้มหน้าลงมองเห็นหน้าอกอวบนูนของตนเองเลยย้อนกลับไปรื้อหาแถบผ้ายาวๆ ผืนหนึ่งมาพันรอบอกให้เรียบแบนที่สุดจนดูไม่ต่างจากผู้ชาย เธอสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง รอจนคุ้นเคยกับมันมากขึ้นถึงค่อยเปิดประตูก้าวเท้าออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.