ในห้องปฏิบัติการของเธอ งานค้นคว้าวิจัยยาเพนิซิลลินเพิ่งเริ่มต้นขึ้น เธอไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
หากวันหน้าทำได้สำเร็จ เธอก็ไม่คิดจะหาเงินด้วยการขายสิทธิบัตรของยาตัวนี้ เพราะมันไม่ใช่ผลงานส่วนตัวของเธอจริงๆ อีกอย่างการผลิตยาชนิดเดียวแบบลับๆ ด้วยเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมในขณะนี้คงทำได้ในปริมาณจำกัด จึงไม่อาจแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ซึ่งก็จะช่วยชีวิตคนได้อย่างจำกัดแน่นอน
หากพูดถึงในแง่ของตัวเธอเอง อันที่จริงเธออยากเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่อุทิศตนเพื่อสังคมอย่างผู้อำนวยการคิมูระมากกว่า ได้เปิดเผยข้อมูลงานทดลองวิจัยให้บุคลากรในวงการแพทย์นานาชาติสามารถนำไปใช้อย่างเสรี การทำแบบนี้มีความหมายต่อการเผยแพร่ยาออกไปเพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด
แต่ซูเสวี่ยจื้อก็แจ่มแจ้งดีว่าสิ่งนี้มีความหมายเพียงใดในยามเกิดสงคราม
เธอปรับตัวให้กลมกลืนกับโลกใบนี้ได้ทีละน้อยแล้ว
นี่ไม่ใช่ยุคสมัยแห่งความสงบสุข แต่เป็นยุคที่บ้านเมืองเกิดศึกภายในไม่หยุดหย่อน ยังมีข้าศึกศัตรูภายนอกที่แข็งแกร่งจับจ้องตาเป็นมัน
เท่าที่เธอรู้ตอนอยู่ในชีวิตเดิม ในช่วงทศวรรษที่สี่สิบหลังปรากฏว่ามีการใช้ยาเพนิซิลลินรักษาโรค ประเทศที่มีวิทยาการก้าวหน้าในศาสตร์แขนงนี้จะปกปิดข้อมูลกันอย่างมิดชิดมาก เพื่อความได้เปรียบในการทำสงคราม
เพราะข้อกังวลนี้นี่เอง นอกจากด็อกเตอร์อวี๋ที่เธอเชื่อใจได้แล้ว ซูเสวี่ยจื้อยังไม่ได้บอกเล่าให้ใครคนใดรู้เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นแนวทางการรักษาโรคที่เป็นของใหม่สำหรับคนยุคนี้โดยสิ้นเชิง
ถึงกระนั้นเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อความเคารพนับถือที่เธอมีต่อผู้อำนวยการคิมูระ
ได้รู้จักและทำงานร่วมกับหมออาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่งอย่างนี้ เธอรู้สึกเป็นเกียรติมาก
เมื่อผู้อำนวยการคิมูระบรรยายจบ ผู้อำนวยการเหอกล่าวขอบคุณเขาแล้วสนทนากันต่อครู่หนึ่ง ถึงเรียกซูเสวี่ยจื้อมาหาและบอกว่า “อีกเดี๋ยวผมกับผู้อำนวยการคิมูระจะไปเยี่ยมคุณฟู่เพื่อประเมินอาการหลังผ่าตัด เธอก็ไปด้วยกันสิ”
ในยุคสมัยนี้การผ่าตัดหัวใจอย่างกรณีของฟู่หมิงเฉิงถูกจัดอยู่ในระดับยากมาก ผู้อำนวยการเหอทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดมือหนึ่งจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษก็เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนั้นฟู่หมิงเฉิงรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานสามสัปดาห์ เขากลับบ้านไปเมื่อปลายเดือนที่แล้ว หลังเขาออกจากโรงพยาบาลผู้อำนวยการเหอไปเยี่ยมเขาที่บ้านสกุลฟู่เพื่อติดตามอาการด้วยตนเองสัปดาห์ละครั้ง
ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าชายหนุ่มฟื้นตัวหลังผ่าตัดได้ดีพอสมควร
ตอนนี้ผ่าตัดมาได้เกือบสองเดือน นอกจากการออกกำลังอย่างหักโหมที่ยังต้องงดเว้นอย่างเด็ดขาด เขาเริ่มกลับมาทำกิจวัตรประจำวันที่เป็นกิจกรรมเบาๆ ได้ตามปกติแล้ว
ผู้อำนวยการคิมูระก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “การผ่าตัดประสบความสำเร็จอย่างยิ่งจริงๆ ครับ ได้ยินว่าพักนี้เขาสะสางงานของบริษัทอยู่ที่บ้านได้แล้ว อีกสักระยะหนึ่งคงจะหายดีดังเดิมได้แน่ ผู้อำนวยการเหอ คุณมีฝีมือยอดเยี่ยมมาก ผมนับถือคุณเหลือเกิน”
ผู้อำนวยการเหอย่อมต้องถ่อมตัวกับคนอาชีพเดียวกันเป็นธรรมดา เขาโบกมือไปมาพลางพูดว่าการผ่าตัดสำเร็จลงได้ต้องยกความดีความชอบให้กับทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานนี้ “…โดยเฉพาะเสี่ยวซู ต้องได้รับความดีความชอบครั้งใหญ่เลยครับ”
ผู้อำนวยการคิมูระพยักหน้าถี่ๆ เขามองซูเสวี่ยจื้อด้วยสายตาชื่นชมเต็มเปี่ยม
ซูเสวี่ยจื้อรีบพูดว่าเป็นความโชคดีเท่านั้น จากนั้นเธอก็ขอตัวไม่ไป เพราะวันนี้ในโรงพยาบาลมีงานยุ่งมาก เธออยากอยู่ช่วยที่นี่ ผู้อำนวยการเหอคิดๆ แล้วก็เข้าใจจึงไม่ฝืนใจเธอ เขาออกไปพร้อมกับผู้อำนวยการคิมูระ หญิงสาวพลันแอบโล่งอก
วันนั้นก่อนสิ้นปี หลังฟู่หมิงเฉิงฟื้นสติแล้วพูดเปิดอกว่ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอแต่แรก ทั้งยังสารภาพความในใจกับเธอ ถึงขณะนั้นเธอจะประทับใจเหลือหลาย แต่ก็ปฏิเสธไม่รับรักเขาทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อจากนั้นเธอขับรถไปเมืองหลวงคนเดียว พอกลับมาอีกทีตอนเดือนหนึ่งเธอก็ได้ข่าวว่าเขาฟื้นตัวดีมากถึงได้สบายใจ
ดังนั้นระยะนี้เพื่อไม่ให้กระอักกระอ่วนใจ ถ้าเลี่ยงไม่ต้องเจอหน้ากันได้ก็ต้องเลี่ยงเป็นธรรมดา โดยเฉพาะการพบปะที่ไม่จำเป็นพรรค์นี้
เมื่อออกไปส่งผู้อำนวยการเหอกับผู้อำนวยการคิมูระแล้ว ซูเสวี่ยจื้อก็ทุ่มสมาธิไปกับงาน
คนที่สมัครใจเข้าร่วมธนาคารเลือดกลุ่มแรกย่อมต้องเป็นแพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลกับนักเรียนของวิทยาลัยแพทย์ทหารบก โดยเฉพาะพวกนักเรียนที่ยิ่งกระตือรือร้นกันมาก อดีตเพื่อนร่วมห้องของเธอก็มากันครบทั้งเจ็ดคน เมื่ออาสาสมัครที่ลงชื่อไว้ผ่านการตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วไม่พบว่าเป็นโรคติดต่ออย่างเช่นวัณโรคก็สามารถเข้ารับการตรวจหมู่เลือดได้
ซูเสวี่ยจื้อกับเพื่อนสองสามคนช่วยกันทำหน้าที่เจาะเลือด ขณะทำงานง่วนอยู่เธอเห็นเยี่ยเสียนฉีกับเฮ่อหลันเสวี่ยมาพร้อมกัน ญาติผู้พี่ขอลงทะเบียนตรวจสอบหมู่เลือด บอกว่าเสียดายที่ตนเองเรียนหมอไม่สำเร็จ อยากชดเชยด้วยการอุทิศเลือดเนื้อสนับสนุนงานด้านการแพทย์
เธอจำได้แม่นว่าคราวที่เกิดเรื่องกับโจวเสี่ยวอวี้แล้วต้องให้เลือดเมื่อปีก่อน เขาเคยตรวจหมู่เลือดไปแล้ว ตอนนี้กลับตีหน้าตายตามเฮ่อหลันเสวี่ยมาอีก ซ้ำยังวางท่าวางทางแบบนี้ เธอย่อมรู้ดีว่าเพราะอะไร พอเห็นเขาลอบขยิบตาถี่ๆ กับเธอลับหลังเฮ่อหลันเสวี่ย ซูเสวี่ยจื้อคิดๆ แล้วก็…ช่างเขาปะไร