ยอมเอาใจผู้หญิงถึงขั้นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อยากโดนเข็มจิ้มอีกรอบก็ตามใจ เธอจึงลงมือเจาะเลือดให้คนทั้งคู่เอง
เฮ่อหลันเสวี่ยยังมีชั่วโมงเรียนคาบบ่ายที่โรงเรียน เจาะเลือดเสร็จจึงต้องกลับเลย ซูเสวี่ยจื้อตามไปส่งเธอถึงหน้าโรงพยาบาล
รถยนต์จอดรออยู่ด้านนอก เยี่ยเสียนฉีวิ่งไปตัดหน้าคนขับรถเพื่อเปิดประตูรถให้เธออย่างขันแข็ง
ซูเสวี่ยจื้อเห็นเฮ่อหลันเสวี่ยยืนนิ่งกับที่ดูเหมือนไม่อยากกลับ
เด็กสาวเก็บความในใจไม่อยู่ สีหน้าของเธอฉายแววกลัดกลุ้ม ทำท่าอึกอักคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่พูด ซูเสวี่ยจื้อทำไม่รู้ไม่ชี้ คลี่ยิ้มพูดเร่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กลับเถอะ ไว้รู้ผลแล้วฉันจะบอกเธอเอง ขอบใจที่มาเข้าร่วมนะ”
สองวันนี้เธอรู้สึกได้ว่าเฮ่อหลันเสวี่ยเหมือนจะจับสังเกตบางอย่างได้เหมือนกัน ถึงไม่ได้ถามข่าวจากเธอว่าพี่ชายจะกลับเมืองเทียนวันไหนบ่อยๆ เช่นตอนแรก
สุดท้ายเด็กสาวไม่พูดอะไรตามเคยแบบที่คาดไว้ เพียงพยักหน้าหันหลังก้มตัวขึ้นไปนั่งในรถ
ซูเสวี่ยจื้อยืนมองส่งรถยนต์แล่นจากไป ค่อยหมุนตัวเดินเข้าโรงพยาบาลไปทำงานของตนเองต่อ
เธอยุ่งวุ่นวายอยู่ในโรงพยาบาลทั้งวัน ตกเย็นหลังทำงานเสร็จพวกเพื่อนนักเรียนที่เข้าเวรพร้อมกันจะเข้าเมืองไปกินข้าวจึงชวนเธอไปด้วยกัน เธอบอกปัดอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นแล้วตรงกลับไปที่วิทยาลัย
หญิงสาวยังคงใช้วิธีเดินกลับ เธอสาวเท้าไปตามถนนที่มีสุสานร้างขนาบอยู่ทั้งสองฝั่งตามลำพัง
ตอนกลางวันงานยุ่งทำให้เธอลืมเรื่องในใจไปได้ ตอนนี้มีเวลาว่างแล้ว มันก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
เขากลับมาสามวันแล้ว ตกลงเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงยังไม่ติดต่อเธอ
กริ๊งๆ
เสียงกริ่งจักรยานดังลอยมาจากด้านหลังฉับพลัน
“เสวี่ยจื้อ…” มีคนเรียกชื่อเธอ
เธอหันหน้าไปมอง เป็นญาติผู้พี่ปั่นจักรยานของเขาไล่กวดตามมา
เธอนึกว่าเขามีเรื่องด่วนอะไร ที่แท้แค่จะมาถามผลตรวจหมู่เลือดของเฮ่อหลันเสวี่ยจากเธอ เขาบอกว่ารับปากอีกฝ่ายว่าจะมาถามให้ พอรู้ว่าเป็นหมู่เลือดบีเหมือนกับตนเอง เขาก็กระหยิ่มยิ้มย่องเป็นการใหญ่ พูดเป็นนัยๆ ว่าเขากับเฮ่อหลันเสวี่ยมีบุพเพวาสนาต่อกัน
“ฉันว่าแล้วเชียว! เสวี่ยจื้อเธอว่าไหม ฉันกับคุณหนูเฮ่อมีวาสนาต่อกันน่าดูเลยเนอะ เธอกับพี่ชายไม่ใช่หมู่เลือดเดียวกัน แต่ดันมาเหมือนฉัน”
ซูเสวี่ยจื้อไม่อยากขัดคอเขาตรงๆ ประกอบกับเธออารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรเลยไม่ปริปากพูด
“ไปเถอะๆ ฉันไปส่งเธอเอง จากนี่น่าจะยังอีกหลายกิโล”
เยี่ยเสียนฉีตบๆ เบาะหลังรถจักรยานเป็นเชิงให้ญาติผู้น้องขึ้นมา
ซูเสวี่ยจื้อขึ้นนั่งซ้อนท้ายเขา
เยี่ยเสียนฉีปั่นจักรยานไปทางวิทยาลัยแพทย์ทหารบกพร้อมกับชวนเธอคุยเรื่อยเปื่อยไม่หยุดปาก “เสวี่ยจื้อ เธอคงรู้แล้ว คุณหนูเฮ่อบอกกับฉันเอง ผู้บัญชาการเฮ่อของพวกเราคนนั้นกลับมาแล้วนะ! วันนี้ฉันยังตั้งใจหาหนังสือพิมพ์ของสองวันแรกมาอ่านเลย ราศีจับน่าดู เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วใช่ไหม รอเขากลับมาเมืองเทียน พวกเราต้องไปแสดงความยินดีกับเขาหรือเปล่า ถ้าเธอไปล่ะก็เรียกฉันด้วย ฉันจะไปพร้อมกับเธอ เธอไม่ไป ฉันก็ไม่เอาหรอก เห็นหน้าเขาก็ใจคอไม่ดีทุกที”
ซูเสวี่ยจื้อไม่ได้เปล่งเสียงตอบ เธอเพียงมองดูอาทิตย์อัสดงที่จวนเจียนลาลับขอบฟ้าตรงสุดปลายทุ่งพลางคิดความในใจของตนเองไปเรื่อยๆ
เยี่ยเสียนฉีไม่ได้สังเกตอารมณ์ของญาติผู้น้องที่อยู่ข้างหลังสักนิด เขาตื่นเต้นคึกคักมากขึ้น “เอ๊ะ! จริงด้วยสิ เมื่อครู่พูดถึงหมู่เลือดว่าฉันกับคุณหนูเฮ่อเหมือนกัน ส่วนของเธอก็เหมือนกับเขา เธอว่าบังเอิญไหม”
ซูเสวี่ยจื้อดึงความคิดคืนมาในที่สุด “พี่รู้หมู่เลือดของเขาได้อย่างไร”
“ก็คืนงานเลี้ยงประจำปีของสกุลฟู่เมื่อปีกลาย ที่เสี่ยวอวี้ประสบอุบัติเหตุแล้วต้องให้เลือด…”
เยี่ยเสียนฉีตอบตามปากพาไป ก่อนที่จู่ๆ ก็ชะงักไปคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้
“ให้เลือดเสี่ยวอวี้? แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย” ซูเสวี่ยจื้อได้ยินเขาหยุดพูดกลางคันจึงถามขึ้น
“ไม่มีอะไรๆ ฉันพูดไปเรื่อยเปื่อย เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนพูดจาไร้สาระ โอ๊ย เสวี่ยจื้อ ทำไมเธอตัวหนักขึ้นทุกวันละเนี่ย หมู่นี้เธออ้วนขึ้นใช่ไหม…”
เยี่ยเสียนฉีทำทีเป็นปั่นจักรยานไม่ไหว ยังแกล้งบิดแฮนด์จักรยานซ้ายทีขวาทีเหมือนพยายามประคองรถให้แล่นไปข้างหน้า พอเห็นญาติผู้น้องกระโดดลงไปยืนริมถนนเขาก็ได้แต่หยุดปั่นจักรยานไปด้วย ก่อนจะวางเท้าข้างหนึ่งลงยันพื้น เหลียวหน้าไปพูดเร่งเธอ “ขึ้นมาสิ เร็วเข้า ส่งเธอเสร็จแล้วฉันยังต้องกลับไปนะ มีงานต้องทำ”
“คราวก่อนที่ให้เลือดเสี่ยวอวี้เกี่ยวอะไรกับเขา พี่พูดให้รู้เรื่อง”
ดูท่าจะเฉไฉบ่ายเบี่ยงไม่ได้แล้ว…