“เขาบอกเอง” เยี่ยเสียนฉีจำต้องพูดอย่างไม่มีทางเลือก
“จู่ๆ เขาบอกเรื่องนี้กับพี่ทำไม” ซูเสวี่ยจื้อสงสัยมากขึ้น
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี บอกก็บอกเถอะจะเป็นไรไป…
เขาเล่าเหตุการณ์ที่ตนเองไปหาเฮ่อฮั่นจู่ตั้งแต่ต้นจนจบให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
“ตอนนั้นคุณคิมูระคนนั้นยังเป็นลมไปเลยไม่ใช่หรือ หน้าซีดอย่างกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น ฉันตกใจแทบตาย! กลัวร่างกายเธอจะแย่ไปด้วย แล้วเธอน่ะยอมฟังฉันซะที่ไหน ฉันถึงได้ไปหาเขา คิดจะขอให้เขาช่วยเตือนเธอ ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ไปโรงพยาบาลจะให้เลือดแทนเธอเอง”
“เย็นวันนั้นฉันไม่เห็นเขามาที่โรงพยาบาลสักหน่อย” ซูเสวี่ยจื้อจำได้แม่นยำ
“เธอต้องไม่รู้แน่นอนสิ อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ตอนฉันกับเขาไปถึงโรงพยาบาล ฟู่หมิงเฉิงตามคนที่ให้เลือดได้กลับมาพอดี พอหมดปัญหาเธอก็ออกจากห้องตรวจแล้ว ส่วนเขาหันหลังออกมาเลย ทั้งยังกำชับฉันว่าห้ามบอกเรื่องที่เขาไปที่นั่นให้เธอรู้ หลังจากนั้นก็กลับไป”
ซูเสวี่ยจื้ออึ้งงันไปครู่เดียวก็แจ่มแจ้งในบัดดล เธอถามเป็นเชิงต่อว่า “ทำไมพี่เพิ่งมาบอกตอนนี้ล่ะ”
เยี่ยเสียนฉีโอดครวญ “โธ่ คุณน้องสาวขอรับ ก็เขาไม่ให้ฉันบอกนี่ จริงสิ เธออย่าบอกเขาว่าเธอรู้เด็ดขาดนะ ปกติฉันปิดปากสนิทที่สุด วันนี้ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เขามองดูท้องฟ้า “เอาล่ะ เธอรีบขึ้นมาเถอะ ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว”
หญิงสาวรู้สึกว่ามีกระแสไออุ่นจางๆ เจือความหวานซึ้งใจแผ่ซ่านในอก เธอไม่พูดต่ออีก กลับขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังจักรยานของญาติผู้พี่กลับถึงวิทยาลัย
จากนั้นเยี่ยเสียนฉีปั่นจักรยานเร็วฉิวกลับไปแบบเดียวกับตอนขามาอีกครั้ง
เมื่อหญิงสาวกลับเข้าห้องพัก เธอปิดประตูปิดม่านหน้าต่างแล้วเปิดไฟ จากนั้นก็นั่งลงหยิบแหวนที่เขามอบให้ออกมาสวมบนนิ้วแล้วส่องใต้ไฟพลางหมุนไปหมุนมาอีกครั้ง
ใต้แสงไฟเนื้อทองเกลี้ยงเปล่งประกายสีเหลืองหม่นแกมสีกุหลาบกับอักษรแบบเรียบๆ แค่ไม่กี่ตัวบนนั้น แต่เธอมองดูมันซ้ำๆ ตั้งกี่รอบแล้วก็สุดรู้
‘คำมั่นของฮั่นจู่’
ความรู้สึกหวานล้ำระคนตื้นตันพลุ่งขึ้นกลางใจอีกครั้งหนึ่ง
เพราะอะไรต้องรอเขาเป็นฝ่ายติดต่อเธอก่อนด้วยเล่า
เพราะอะไรเธอจะติดต่อเขาก่อนไม่ได้
บางทีติงชุนซานอาจลืมถ่ายทอดคำพูดที่เธอฝากไปบอกเขา เขากังวลว่าเธอยังตะขิดตะขวงใจกับเรื่องนั้นและโกรธเขาอยู่ ดังนั้นเขาถึงไม่กล้าติดต่อเธอก็เป็นได้
ดูเหมือนเขามักเป็นแบบนี้เสมอ ภายนอกดูมีอำนาจบารมีเป็นที่ยำเกรงของใครๆ แต่หลังจากทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน เวลาอยู่กับเธอตามลำพังสองคน พอถึงจังหวะสำคัญทีไรเขากลับทำท่าโลเลไม่เด็ดขาดเหมือนพวกไม่มีความมั่นใจในตนเองเอาเสียเลย
เอาเป็นว่าไม่ว่าเธอจะเดาถูกหรือไม่ หรือเขามีเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ไปถามเขาตรงๆ ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยก็หมดเรื่อง ดีกว่ามัวนั่งสงสัยคาดเดาสะเปะสะปะอยู่แบบนี้ให้ทรมานใจเอง
เลือดในตัวหญิงสาวสูบฉีดแรงขึ้นทีละน้อย
ซูเสวี่ยจื้อหมดความลังเลใจ เธอเก็บแหวนแล้วลุกออกไปทันที
ห้องทำงานของผู้อำนวยการเหอในเวลานี้ไม่มีคนอยู่แล้ว ตอนซูเสวี่ยจื้อกลับเข้าเมือง กรมไปรษณีย์โทรเลขก็ปิดประตูไปแล้ว เธอจึงตรงดิ่งไปที่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ
เฮ่อหลันเสวี่ยวิ่งทะยานลงมาจากชั้นบนด้วยความตื่นเต้นแกมประหลาดใจ “คุณมาได้อย่างไรคะ มีธุระใช่ไหม”
“ไม่ได้มีธุระหรอก แค่จะขอยืมใช้โทรศัพท์ครับ” ซูเสวี่ยจื้อบอกยิ้มๆ “อยากโทรหาพี่ชายคุณ” เธออธิบายต่ออีกคำ
เฮ่อหลันเสวี่ยได้ยินแล้วทำหน้าดีใจในทีแรก ต่อจากนั้นเธอชะงักไปนิดหนึ่ง ถึงบอกให้เหมยเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างออกไป จนกระทั่งไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ค่อยมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง พูดเสียงกระซิบว่า “ตอนนี้พี่ชายฉันน่าจะไม่อยู่ค่ะ…ฉันได้ยินจากป้าเฮ่อว่าหลังจากเขากลับมา หลายวันนี้งานยุ่งมาก กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่จะฝากคำพูดถึงเขากับป้าเฮ่อ”
เฮ่อหลันเสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพยักหน้าทันที
ซูเสวี่ยจื้อหยิบหูโทรศัพท์ต่อสายทางไกลไปที่เมืองหลวง เธอรออยู่ครู่หนึ่งสายโทรศัพท์ก็ถูกโอนต่อไปที่บ้านพักสวนดอกไม้สกุลติงตามคำขอของเธอ
คนที่รับสายคือป้าเฮ่อ ป้าเฮ่อตอบเหมือนที่เฮ่อหลันเสวี่ยบอกไว้เมื่อครู่นี้ตามคาดว่าเขาไม่อยู่ ไม่รู้จะกลับมาได้เมื่อไร
“สองสามวันนี้คุณชายยุ่งจนหัวปั่น หลังกลับมาถึงฉันเห็นเขาไม่ได้นอนเต็มอิ่มสักคืน มีคนมาหาที่บ้านตั้งแต่เช้ายันเย็น คุณชายซูมีธุระใช่ไหม หรือมีเรื่องอะไรอยากบอก ฝากฉันไว้ได้นะ รอคุณชายกลับมา ฉันจะบอกต่อให้ทันทีเลย” ป้าเฮ่อแสดงความกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม
“ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกครับ แค่ฝากป้าบอกคุณน้าสักคำว่าผมโทรมาหา ถ้าคุณน้ามีเวลาว่างช่วยติดต่อกลับด้วยครับ”
“ได้ๆ ฉันจะบอกให้”
ซูเสวี่ยจื้อกล่าวขอบคุณแล้ววางหูโทรศัพท์