ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124
เฮ่อหลันเสวี่ยรั้งตัวซูเสวี่ยจื้อให้นอนค้างที่บ้าน แต่เธอบอกปัดอย่างสุภาพ เฮ่อหลันเสวี่ยไม่กล้ารบเร้าต่อ เพียงบอกว่าจะให้คนขับรถไปส่ง
เธอไม่ปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายอีก ตอนเฮ่อหลันเสวี่ยเดินตามออกมาส่งเธอถึงหน้าประตูรั้วอย่างอาลัยอาวรณ์ อีกฝ่ายสบช่องที่คนอื่นไม่ทันสังเกตยื่นปากมากระซิบข้างหูเธออย่างฉับไว “พี่ซู พี่ช่างแสนดีจริงๆ ถ้าพี่ชายฉันคิดว่าตนเองได้เลื่อนตำแหน่งหนนี้แล้วทำหยิ่งยโส กล้ารังแกพี่ล่ะก็ ฉันสาบานว่าจะไม่สนใจเขาไปตลอดชีวิตเลยค่ะ”
ซูเสวี่ยจื้ออบอุ่นไปทั้งหัวใจอีกครา เธอพยักหน้ายิ้มๆ บอกให้เด็กสาวเข้าบ้าน ส่วนตนเองนั่งรถกลับวิทยาลัย
ขณะนี้เป็นเวลายี่สิบนาฬิกาเศษ
เมื่อโทรศัพท์เรียบร้อยเธอก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก จิตใจผ่อนคลายกว่าหลายวันที่ผ่านมาไม่น้อย เธอเห็นว่ายังไม่ดึกนัก เลยอยากไปดูที่ห้องปฏิบัติการสักหน่อย
งานนี้เป็นการเริ่มต้นจากศูนย์ ฉะนั้นอยากจะผลิตยาเพนิซิลลิน ขั้นแรกต้องหาเชื้อราเพนิซิลเลียม* ที่ใช้สกัดเป็นยาได้ จากนั้นทำการเพาะเชื้อกับคัดแยกสายพันธุ์ซ้ำๆ จนได้เชื้อบริสุทธิ์ซึ่งนำไปใช้ได้
ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไรไม่สามารถควบคุมได้โดยสิ้นเชิง ถ้าโชคดีอาจจะรวดเร็วมาก แต่ถ้าโชคไม่ดี หนึ่งปีหรือนานหลายปีก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ดีที่เชื้อรามีอยู่ดาษดื่นในธรรมชาติ ช่วงหลังจากเปิดเรียนจนถึงตอนนี้ ซูเสวี่ยจื้อกับด็อกเตอร์อวี๋สองคนกำลังเก็บรวบรวมเชื้อราจากที่ต่างๆ อยู่ตลอด
ไม่ว่าจะเป็นถุงเท้า รองเท้า เสื้อผ้าเก่า ผักผลไม้และเนื้อที่เน่าแล้ว กระทั่งเหรียญโบราณ…ขอแค่เป็นสิ่งของหรือสถานที่ที่อาจจะมีเชื้อราอยู่กลายเป็นเป้าหมายของคนทั้งคู่หมด
ในสายตาของคนที่ไม่เข้าใจเหตุผล งานที่เธอกับเขาทำอยู่ก็แทบไม่ต่างจากการเก็บขยะ
เพราะมีกันแค่สองคนจึงส่งผลให้งานคืบหน้าอย่างอืดอาด อันที่จริงซูเสวี่ยจื้อก็ใคร่ครวญอยู่ว่าจะรับสมัครนักเรียนที่มีพื้นฐานด้านชีววิทยามาเป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการสองสามคน แต่เมื่อคำนึงถึงว่าต้องเก็บเป็นความลับ เธอก็ลังเลตัดสินใจไม่ได้อีก
หลายวันก่อนด็อกเตอร์อวี๋พบเชื้อราในเศษเนื้อสัตว์ชิ้นหนึ่ง เขาทำการย้ายเอาไปเพาะด้วยอาหารเลี้ยงเชื้อ
ซูเสวี่ยจื้ออยากไปดูความคืบหน้าสักนิด
วันนี้ด็อกเตอร์อวี๋ออกไปตระเวนเสาะหาเชื้อรา ยังไม่ได้มาที่ห้องปฏิบัติการ
เธอกลับเข้าห้องพักหยิบกุญแจห้องปฏิบัติการแล้วกำลังจะออกไป ทันใดนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นลอยมาระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงคนเคาะประตู
เธอเปิดประตูออกก็เห็นด็อกเตอร์อวี๋มาหา
เขามีสีหน้าผิดปกติมาก ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ พอเห็นเธอแล้วกลับพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ
ด็อกเตอร์อวี๋มาหาเธอดึกดื่นป่านนี้ หนำซ้ำยังอยู่ในอารมณ์พลุ่งพล่านแบบนี้อีก
ซูเสวี่ยจื้อตกอกตกใจมาก เธอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็รีบเชิญเขาเข้าห้อง
ด็อกเตอร์อวี๋ส่ายหน้าพลางพูดเสียงแหบพร่า “เสี่ยวซู น่าจะพบตัวชิงเฮ่อแล้ว” เขาพูดจบสองตาที่แดงก่ำก็มีน้ำตาคลอเบ้าอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
อู๋ชิงเฮ่อ? ผู้จัดการของโรงงานผลิตยาตงย่าที่สงสัยว่าถูกฆ่าตายแต่ยังหาศพไม่พบมาโดยตลอดก่อนหน้านี้คนนั้นหรือ
“เขาอยู่ไหนครับ” ซูเสวี่ยจื้อใจหายวาบ เธอซักไซ้ทันที แม้ว่าในใจเธอจะมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมาแล้ว
ดูจากท่าทางนี้ของด็อกเตอร์อวี๋ จะต้องเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน
หลังจากโรงงานผลิตยาตงย่าล้มละลายเมื่อปีที่แล้วก็ถูกโรงงานผลิตยาอีกแห่งหนึ่งซื้อกิจการไป ขณะนี้อยู่ในระหว่างซ่อมแซมดัดแปลงอยู่ ตอนเที่ยงคนงานกำลังระบายน้ำในบ่อน้ำเสียที่ทิ้งร้างไว้ กลับพบศพในสภาพเน่าเปื่อยแทบเหลือแต่กระดูกตรงก้นบ่อ ทำให้ทุกคนนึกไปถึงอู๋ชิงเฮ่อที่หายสาบสูญไปพักก่อน จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ซุนเมิ่งเซียนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก รีบรุดไปที่นั่นด้วยตนเอง ทว่ายังพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลไม่ได้ทันทีทันใด เขาสั่งปิดโรงงานชั่วคราวและห้ามคนนอกเข้าออก บอกว่าจะดำเนินการชันสูตรศพสรุปผลว่าเป็นใคร
“ต้องเป็นชิงเฮ่อแน่ๆ ต้องเป็นเขาแน่นอน คนพวกนั้นฆ่าเขาแล้วโยนทิ้งลงบ่อน้ำเสีย ชั่วช้าสารเลว! ไอ้พวกคนชั่วสมควรตาย”
ด็อกเตอร์อวี๋ร้องไห้น้ำตานองหน้า ตัวสั่นระริก หน้าซีดเผือดกะทันหัน เขายกมือเกาะผนังและล้มลงอย่างช้าๆ
สุขภาพของเขาไม่แข็งแรงอยู่แต่เดิม พอมาเจอเรื่องแบบนี้ เป็นเหตุให้สะเทือนใจมากเกินไปถึงหมดสติ
ซูเสวี่ยจื้อตกใจยกใหญ่ รีบเร่งปฐมพยาบาลจนเขาฟื้นขึ้นมา แต่เห็นว่าอัตราการเต้นของหัวใจกับความดันโลหิตของเขาไม่คงที่นัก กลัวเขาจะเป็นอะไรไป เธอจึงเรียกพวกเจี่ยงจ้งไหวมาช่วยพาเขาไปโรงพยาบาลในสังกัดโดยไม่รอช้า
เจี่ยงจ้งไหวไม่อิดออดสักคำ แบกด็อกเตอร์อวี๋ขึ้นหลังออกไปพร้อมกับเพื่อนนักเรียนสองสามคน ส่วนเธอตามอยู่ข้างหลัง ช่วยกันนำตัวเขาส่งโรงพยาบาล
หลังให้ยารักษาอาการของด็อกเตอร์อวี๋ก็เริ่มคงที่ในที่สุด เขานอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างสะลึมสะลือและหลับไป
เธอขอบอกขอบใจเจี่ยงจ้งไหวกับเพื่อนๆ แล้วบอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อน
เมื่อเพื่อนนักเรียนไปแล้ว ซูเสวี่ยจื้อนั่งอยู่บนเก้าอี้นอกห้องฉุกเฉินคนเดียวอย่างใจลอย จังหวะนี้เองมีเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งลอยมาจากนอกประตูใหญ่กะทันหัน มีคนกำลังเดินมาทางนี้
เธอนึกว่าเป็นผู้ป่วยมาหาหมอกลางดึก พอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอธิบดีกรมตำรวจซุนเมิ่งเซียนที่ชื่อว่าเหยาเหนิงคนนั้น เขาพาลูกน้องหลายคนตามมาหาเธอถึงที่นี่
ท่าทางของเหยาเหนิงอ่อนน้อมอย่างยิ่ง เขาเล่าเรื่องที่พบศพในบ่อน้ำเสียของโรงงานผลิตยาตงย่าตอนกลางวันจบแล้วพูดตบท้ายว่า “เพราะสภาพศพเน่าเปื่อยมาก พวกผมสุดปัญญาจะพิสูจน์ตัวบุคคลได้ แต่ว่าวันนี้ข่าวแพร่ออกไปแล้ว มีนักข่าวที่รู้เรื่องนี้แห่กันมาเป็นโขยงเพื่อรอฟังแถลงสรุป ผมรู้ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ก่อนหน้าก็เคยช่วยพวกผมมาแล้วครั้งใหญ่ ดังนั้นท่านอธิบดีจึงส่งผมมาเชิญคุณ ไม่ทราบว่าคุณจะไปช่วยอีกสักครั้งได้ไหมครับ”
ซูเสวี่ยจื้อสงบสติอารมณ์แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ
ในเวลานี้เองรถยนต์คันหนึ่งห้อตะบึงมาถึงประตูทางเข้าโรงพยาบาล เหยียบห้ามล้อดังเอี๊ยดหยุดจอดอยู่หน้าประตู
เธอหันหน้าไปเห็นผู้ชายสวมชุดทหารคนนั้นเปิดประตูลงมาจากรถ
แสงไฟตรงหน้าประตูโรงพยาบาลส่องกระทบใบหน้าแฝงรอยเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางของคนคนนั้น
เฮ่อฮั่นจู่เองหรือนี่!
เขาสาวเท้าก้าวใหญ่เดินฝ่าสายตาประหลาดใจของทุกคนเข้ามาหยุดอยู่หน้าเธอ หันไปบอกกับเหยาเหนิงเสียงราบเรียบ “ทางผมมีงานต้องให้เขาช่วยเหลือ บอกอธิบดีซุนให้หาคนอื่นมาทำงานนี้”
เขาพูดจบแล้วทิ้งเหยาเหนิงไว้ที่เดิม ไม่ได้ถามความเห็นของซูเสวี่ยจื้อก็ยื่นมือจับแขนเธอไว้เบาๆ กึ่งเชิญกึ่งบังคับพาตัวเธอออกจากประตูใหญ่ เดินตรงดิ่งที่ไปรถแล้วใช้มืออีกข้างเปิดประตูรถให้
“ขึ้นรถเถอะ” เขาบอกเสียงเบาๆ คำหนึ่งก่อนรุนหลังเธอให้เข้าไปในรถแล้วปิดประตู
* เดอะแลนซิต (The Lancet) วารสารทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกของประเทศอังกฤษ
* เพนิซิลเลียม (Penicillium) เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่อยู่ในอาณาจักรฟังไจ (fungi) เพนิซิลเลียมบางชนิดใช้ในการผลิตยาเพนิซิลลิน บางชนิดสามารถนำมาใช้ในการทำเนยแข็ง และยังสามารถนำมาใช้ในการบำบัดสารมลพิษทางชีวภาพ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 เม.ย. 67