ซูเสวี่ยจื้อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบก็พบจุดพิเศษจุดหนึ่งด้วยตนเอง เธอถามขึ้นว่า “คุณอู๋ถนัดซ้ายใช่ไหมครับ”
เธอสังเกตเห็นว่าขนาดกระดูกของแขนขาและมือข้างซ้ายใหญ่กว่าข้างขวาอยู่บ้าง ขณะที่คนทั่วไปจะมีลักษณะตรงข้ามเพราะถนัดขวา
“ใช่แล้วๆ เขาเป็นคนถนัดซ้าย” ด็อกเตอร์อวี๋พยักหน้าถี่ๆ แล้วพูดต่อ “หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ…”
เธอไม่อยากสรุปผลเลย แต่เพศ ส่วนสูง อายุ รวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนถนัดซ้ายสอดคล้องต้องกันหมด พูดได้ว่าโอกาสที่จะวินิจฉัยผิดแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว
เธอไม่เอ่ยตอบคำถามนี้ของอีกฝ่าย
ฝ่ายด็อกเตอร์อวี๋ก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจดีเช่นกัน จึงไม่ได้ต้องการคำตอบของเธอ เขาหันหน้าไปมองโครงกระดูกที่นอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะยาวอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาแดงขึ้นอีกครา
จริงอยู่ว่าฆาตกรที่ลงมือคือเจ้าของโรงงานผลิตยาที่มีตราบาปติดตัวและชดใช้ความผิดด้วยความตายไปแล้วคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าคนที่คร่าชีวิตผู้จัดการโรงงานผลิตยาซึ่งมีมโนธรรมในใจและยังอยากยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมคนหนึ่งกลับไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น
“ขอโทษด้วยครับ” ซูเสวี่ยจื้อพูดเสียงเบา เธอไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองกำลังขอโทษแทนใครอยู่
จะเป็นยุคแห่งความมืดมนเสื่อมถอยนี้ หรือว่าคนทุกคนที่ต่ำต้อยดุจมดปลวกจนไม่อาจเป็นตัวของตนเองได้ในกระแสอันเชี่ยวกรากของยุคสมัย ดังเช่นตัวเธอเองที่ไม่สามารถยืนหยัดเพรียกหาความถูกต้องชอบธรรมได้อีกต่อไป
ด็อกเตอร์อวี๋นั่งนิ่งไม่ขยับ
เธอถอยออกมาเงียบๆ ให้เขาได้อยู่กับเพื่อนของเขาตามลำพัง
“เสี่ยวซู!” ตอนเธอเดินออกจากห้องพลันได้ยินเสียงเรียกทางด้านหลัง
เธอหมุนตัวไปเห็นด็อกเตอร์อวี๋ไล่ตามมา
“เสี่ยวซู คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษผม ผมเข้าใจ เข้าใจทุกอย่าง” เขากล่าว
“ได้กระดูกเขากลับมานำลงฝัง ผมก็พอใจแล้ว” ดวงตาของด็อกเตอร์อวี๋ฉาบด้วยประกายน้ำตา
“ผมกับชิงเฮ่อเป็นแค่คนธรรมดาๆ สมัยยังหนุ่มต่างอยากจะอุทิศตัวเพื่อประเทศชาติถึงได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ตอนนี้ชิงเฮ่อจากไปแล้ว หากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการของพวกเราประสบผลสำเร็จ ได้ทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและประชาชนในภายภาคหน้า สำหรับผมแล้วต้องถือว่าได้สมเจตนารมณ์เดิม ส่วนเพื่อนของผมก็ถือว่าเป็นการปลอบดวงวิญญาณเขาในทางหนึ่ง
ผมเป็นคนล้มเหลว เดิมทีชีวิตของผมน่าจะลงเอยด้วยการล้มป่วยตายไปตามยถากรรม ขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้ทำปณิธานให้เป็นจริง ผมยังต้องขอบคุณคุณที่ให้ผมได้ทำอะไรเพื่อเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยส่งเขาไปสู่สุคติ”
เขาโค้งตัวต่ำๆ ให้ซูเสวี่ยจื้อ จากนั้นหันหลังกลับเข้าห้องไป
เธอยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินครู่หนึ่ง ถึงเดินออกมาถามติงชุนซานที่ยังรออยู่ที่เดิมว่า “ตอนนี้ท่านผู้บัญชาการของคุณอยู่ที่ไหนหรือครับ”
ติงชุนซานตอบ “หลังจากท่านผู้บัญชาการไปที่กวนซีตอนต้นปี พลเอกหวังนับวันก็สุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ เลยขอลาออกจากตำแหน่งกับท่านประธานาธิบดีหลายครั้งหลายหน แต่ท่านประธานาธิบดีพยายามรั้งตัวไว้ คราวนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ข่าวลือต่างๆ ก็เข้ามารุมเร้า พลเอกหวังไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตนเองได้ จึงขอวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการ สองวันนี้ในเมืองหลวงน่าจะวุ่นวายอยู่สักหน่อย ดังนั้นตอนนี้ท่านผู้บัญชาการเลยยังกลับมาไม่ได้”
ในใจติงชุนซานเกิดความฉงนสงสัยมากขึ้นทุกที รู้สึกไม่วายว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับคุณชายซูผู้นี้ออกจะ…จะพูดอย่างไรดีล่ะ เขาไม่กล้าคิดไปในทางรสนิยมเบี่ยงเบนหรือไม้ป่าเดียวกันอะไรนั่นแน่นอน แต่เอาเป็นว่ามันไม่ค่อยปกติก็แล้วกัน
ติงชุนซานแอบมองซูเสวี่ยจื้อแวบหนึ่งพลางเอ่ย “ท่านผู้บัญชาการให้ผมบอกคุณว่ารอท่านสะสางงานเสร็จเรียบร้อยก็จะกลับมาหาคุณครับ”
บ้านของสกุลหวังในเมืองหลวง คุณนายหวังกำลังวุ่นอยู่กับการบัญชาการพ่อบ้านกับคนรับใช้ในบ้านให้จัดเก็บสัมภาระเตรียมตัวออกจากเมืองหลวงไปพักที่คฤหาสน์ในย่านซินเจี้ยของเมืองเทียนชั่วคราว
เมืองเทียนเป็นเมืองท่าเก่าแก่อายุนับร้อยปีทางภาคเหนือ มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ลำพังแค่จำนวนคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่ก็มากถึงสองล้านคน ยังมีเมืองใหม่ซึ่งเป็นที่รวมเขตเช่าของทุกๆ ประเทศ อีกทั้งเป็นที่พำนักในบั้นปลายชีวิตของบรรดาเจ้าพลัดถิ่นที่โดนถอดฐานันดรศักดิ์และที่ลี้ภัยของอดีตบุคคลสำคัญทางการเมืองที่พ่ายแพ้แล้วเสมอมา
คุณนายหวังมองดูข้าวของที่วางระเกะระกะทั่วบ้านแล้วย่นหัวคิ้วแทบชนกัน เธอบ่นว่าบ่าวไพร่ไม่หยุดว่าโง่เง่า กระทั่งเก็บสัมภาระก็ทำไม่เป็น ทั้งยังสั่งว่าอย่าเพิ่งย้ายของอย่างอื่น ให้ไปเก็บของในห้องหวังถิงจือก่อน พยายามเอาไปให้หมดทุกชิ้นเท่าที่จะทำได้ พอไปอยู่ทางนั้นจะได้ไม่แปลกที่แปลกทาง
คนรับใช้สกุลหวังขานรับด้วยท่าทางกลัวลาน เธอเห็นแล้วไฟโทสะในอกก็ลุกโชนขึ้นอีก ด่าทอว่าแต่ละคนทำหน้าเศร้าเหมือนญาติเสียไม่เป็นมงคล ยิ่งทำให้เหล่าคนรับใช้อกสั่นขวัญแขวนจนไม่รู้จะวางสีหน้าเช่นไร
จะทำอย่างไรได้เล่าก็ตอนนี้ท่านผู้บัญชาการทหารบกลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ท่านประธานาธิบดีลงนามอนุมัติ และหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวออกมาแล้ว