บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ด
วันนี้ซูเสวี่ยจื้อยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้นตั้งแต่เช้าตรู่
ติงชุนซานส่งลูกน้องมาพาด็อกเตอร์อวี๋ไปส่งที่บ้านเดิมของเพื่อนเก่าเพื่อนำอัฐิไปฝัง ในห้องปฏิบัติการเหลือเธออยู่คนเดียว
ช่วงเช้าเธอง่วนอยู่กับการแยกเชื้อบริสุทธิ์จากจานเพาะเชื้อราที่ได้จากเศษเนื้อคราวก่อน เตรียมทดลองจำแนกเชื้อในขั้นต่อไปเพื่อหาเชื้อราเพนิซิลเลียมที่มีรูปทรงคล้ายแปรง
มันเป็นงานซ้ำซากจำเจและละเอียดจุกจิกที่ทดสอบความอดทนแล้วก็ต้องอาศัยโชคดวงด้วย ตามประสบการณ์ของด็อกเตอร์อวี๋ อาจต้องทดลองทำเป็นร้อยๆ ครั้งกว่าจะได้เชื้อราเพนิซิลเลียมหลายสิบตัวตามที่ต้องการในที่สุด ค่อยคัดเลือกสายพันธุ์ที่นำมาสร้างสารปฏิชีวนะได้ออกมาเพาะเลี้ยงต่ออีกที ปกติมักมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จไม่สูงนัก ทำได้สักหนึ่งในสี่ก็ไม่เลวแล้ว
หนทางสู่ความสำเร็จยังอีกยาวไกลนัก ตอนนี้เป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น
ช่วงบ่ายเธอไปที่โรงพยาบาล
เธอเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยของนักเรียนแพทย์ฝึกหัด ทีแรกกลุ่มนี้จะหมดหน้าที่เข้าเวรตอนสองทุ่ม แต่โชคไม่ดีที่ตอนใกล้จะออกเวรคนของหมู่บ้านห่างไปสิบกว่ากิโลเมตรกินของที่ไม่สะอาดในงานเลี้ยงแต่งงานของคนหมู่บ้านเดียวกันเข้าไปจนเกิดอาการอาหารเป็นพิษ อาเจียนท้องร่วงกันระนาว ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลรวดเดียวยี่สิบกว่าคน
พอเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่ซูเสวี่ยจื้อจะนิ่งเฉยดูดายอยู่แล้ว เธอพร้อมด้วยพวกเพื่อนนักเรียนอยู่ช่วยชีวิตผู้ป่วยกับแพทย์เวร ยุ่งวุ่นวายจนขาขวิดไปตามๆ กัน
ดีที่เมื่อให้การปฐมพยาบาลฉุกเฉินแล้ว รายที่เป็นน้อยหลังกระตุ้นให้อาเจียนกับล้างท้องและกินยาก็ค่อยๆ อาการดีขึ้น มีญาติทยอยมารับตัวกลับ ส่วนสองสามคนที่อาการหนักที่สุดก็อาการคงที่แล้ว ไม่เป็นอะไรมากเช่นกัน
กว่าจะดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งหมดจนเรียบร้อย ภายในโรงพยาบาลค่อยๆ กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
ซูเสวี่ยจื้อบอกให้เพื่อนนักเรียนที่ทำงานจนดึกดื่นกลับวิทยาลัยไปพักผ่อน ส่วนตนเองยังกลับไม่ได้ ต้องไปที่ห้องพักแพทย์เวรทำบันทึกการปฏิบัติหน้าที่เวรในวันนี้ก่อน
เธอทำบันทึกนี้เสร็จแล้วถึงจะกลับไปได้
ครั้นจิตใจที่ตึงเครียดมาตลอดคืนผ่อนคลายลง หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
เธอเรียกแรงฮึดให้ตนเอง ตั้งใจจะสะสางงานให้เสร็จไวๆ แต่พอนั่งลงเขียนไปได้ไม่กี่คำก็เริ่มใจลอย
วันนั้นติงชุนซานบอกเธอว่าหวังเซี่ยวคุนลาออกจากตำแหน่งแล้ว ดังนั้นเฮ่อฮั่นจู่จึงยังกลับมาไม่ได้ รอเสร็จงานแล้วเขาก็จะมาหาเธอ
นับจากวันนั้นก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว
เมื่อวานเธอเห็นข่าวหวังเซี่ยวคุนลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการในหนังสือพิมพ์
ส่วนวันนี้เธอยุ่งมาก ทำงานไม่ได้หยุดตั้งแต่เช้า ยังไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ของวันนี้
แต่เธอคาดเดาเอาเองว่าอย่างน้อยน่าจะต้องอีกสองสามวันเขาถึงจะกลับมากระมัง
ขณะที่ซูเสวี่ยจื้ออยู่ในภวังค์ความคิด ประตูห้องพักแพทย์เวรที่เปิดแง้มไว้ถูกคนผลักเปิดออก เธอเงยหน้าขึ้นเห็นพยาบาลสาวน้อยในโรงพยาบาลนี้ที่ดูเหมือนจะมีความรู้สึกดีๆ กับเธอตั้งแต่ปีที่แล้วเยี่ยมหน้าเข้ามาถามอย่างเอาอกเอาใจว่าเธอเหนื่อยหรือเปล่า อยากดื่มน้ำไหม และบอกว่าจะไปรินมาให้
เธอส่งยิ้มให้พยาบาลสาวน้อยพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ ตอบว่าไม่ต้องแล้วบอกให้อีกฝ่ายรีบไปพักผ่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่เหนื่อย คืนนี้แค่คอยเป็นลูกมือของคุณเท่านั้น หมอซูต่างหากที่เหนื่อยแล้ว เอ๊ะ หน้าต่างปิดไม่สนิท สองวันนี้มีลมหนาวหลงฤดู อากาศเย็นลงอีกแล้ว ฉันช่วยปิดหน้าต่างให้นะคะ”
พยาบาลสาวน้อยเข้าห้องมาแล้วเดินไปตรงข้างหน้าต่างยื่นมือจะปิดหน้าต่าง แต่จู่ๆ ก็นิ่งไปคล้ายเห็นอะไร เธอหันหน้ามาบอกอย่างแปลกใจ “หมอซู มาดูนี่สิคะ! ทำไมถึงมีคนมาอยู่ตรงถนนด้านนอกประตูเล็ก เขามาหาหมอหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เข้ามา ดึกป่านนี้แล้ว ด้านนอกหนาวแบบนี้ยังยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร”
ซูเสวี่ยจื้อชะงักกึก ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดคำบอกของพยาบาลสาวน้อยทำให้เธอหวนนึกถึงคืนหนึ่งของปีที่แล้วโดยพลัน
คืนวันนั้นหลังจากผ่าตัดไส้ติ่งให้ลูกชายคุณนายหม่าเสร็จ เธอก็มองเห็นเฮ่อฮั่นจู่คอยเธออยู่ข้างนอกตรงถนนสายนี้จากทางหน้าต่างบานนี้เหมือนกัน
เวลานี้พอคิดไปถึงจุดประสงค์ที่เขามาหาเธอตอนนั้นก็ยังน่าขำอยู่สักนิดจริงๆ
เขาอยากให้เธอแต่งงานกับน้องสาวเขา
หรือว่า…
ซูเสวี่ยจื้อวางปากกาลงทันควัน ลุกจากเก้าอี้เดินฉับๆ ไปที่ข้างหน้าต่าง
“นั่นๆ ทางนั้นค่ะ เห็นไหมคะ ตอนเห็นแวบแรกฉันตกใจหมดเลย…” พยาบาลสาวน้อยชี้ให้เธอดู
นอกประตูเล็กของโรงพยาบาลมีเพียงแสงไฟสลัวๆ ซ้ำยังอยู่ห่างไปหลายสิบเมตร เห็นคนคนนั้นเป็นเงาตะคุ่มๆ ดูเหมือนจะคลุมเสื้อโค้ตไว้บนไหล่ เป็นผู้ชายคนหนึ่งยืนนิ่งๆ อยู่ในความมืด
ถึงเห็นเพียงเท่านี้ แต่ซูเสวี่ยจื้อยังคงจำได้ตั้งแต่แวบแรก
ตายจริง! เป็นเขาจริงๆ หรือนี่!