ซูเสวี่ยจื้อลงจากรถ
เขาก็ลงรถเดินไปส่งเธอถึงหน้าประตูวิทยาลัยแล้วหยุดฝีเท้า
เธอรออยู่ว่าเขาจะพูดอะไรกับเธออีกสักหน่อย
เขากลับจากเมืองหลวงและมาหาเธอแล้วในคืนนี้ หรือว่าจะจบลงเท่านี้กัน
เธอมองเฮ่อฮั่นจู่และเห็นว่าเขาก็มองเธอเงียบๆ ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ประเดี๋ยวหนึ่ง
ความรู้สึกแปลกๆ ชอบกลนั่นกลับเข้ามาเกาะกุมจิตใจเธออีกครั้ง…
ในตอนที่ซูเสวี่ยจื้อเกือบอดใจไม่อยู่นั้นเอง จู่ๆ เขาก็ยกแขนขวาขึ้น…
ซูเสวี่ยจื้อใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง อึดใจต่อมากลับเห็นเขาล้วงนาฬิกาพกจากอกเสื้อ เปิดฝาออกก้มหน้าดูเวลาแล้วอ้าปากพูด
“ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว คืนนี้คุณคงเหนื่อยมากแล้ว คุณเข้าไปเถอะ นอนพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน” เขากระซิบบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่งยวด
เธอชั่งใจนิดหนึ่งก่อนถามคำถามที่ตนเองอยากถามเมื่อครู่นี้ออกมาในที่สุด “คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า มีเรื่องอะไรใช่ไหม”
เขาหันไปมองผืนรัตติกาลมืดมิดไกลๆ ปราดหนึ่งแล้วหันหน้ากลับมา “ไม่มีอะไร …คืนนี้ดึกเกินไปแล้ว คุณจำเป็นต้องพักผ่อนมากที่สุด พรุ่งนี้เถอะ…ไว้พรุ่งนี้คุณมีเวลาว่าง ผมค่อยมาหาคุณใหม่”
สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนดุจเดิม และยังคงคำนึงถึงเธออย่างถี่ถ้วนเช่นนี้
เมื่อครู่นี้ก่อนจะเห็นเขาปรากฏตัวที่โรงพยาบาล เธอรู้สึกเหนื่อยมากจนอยากพักผ่อนแล้วจริงๆ
ทว่าพอตอนนี้ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเขา ในใจเธอกลับรู้สึกเคว้งคว้างระคนด้วยความหดหู่
แล้วความรู้สึกเคว้งคว้างหดหู่ที่เกิดขึ้นในชั่วอึดใจนี้ เสมือนกระแสน้ำขึ้นใต้แสงจันทร์จากที่ไกลค่อยๆ ไหลเอ่อมาใกล้แล้วท่วมทับตัวเธอไว้จนมิดศีรษะในที่สุด
ถ้าจะพูดกันจริงๆ เวลาที่เธอกับเขาได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดเริ่มจากวันสุดท้ายของปีก่อนเป็นแค่ช่วงสั้นๆ สามสี่วันนั้นเอง แม้ว่าก่อนแยกกันจะมีปากเสียงกันนิดหน่อย แต่ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าเธอไม่ได้โมโหจริงๆ
เธอรู้สึกว่าเขาก็เป็นเหมือนเธอ
ในเวลานี้เขากับเธอน่าจะยังถือเป็นคู่รักที่อยู่ในช่วงหวานชื่นอยู่
ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้งหลังไม่เจอหน้ากันมานาน ตามธรรมดาไม่ควรเป็นแบบนี้
แล้ว…ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ
ซูเสวี่ยจื้อรำพึงในใจ เธอรู้สึกได้ชัดเจนว่าคืนนี้เขามีเรื่องอยากพูดกับเธอ
เธอยังรอคำอธิบายจากเขาอยู่ว่าวันนั้นเขาวิ่งขึ้นรถไฟเอาแหวนที่สลักตัวอักษรมามอบให้เธอหมายความอะไร แต่ว่าตอนนี้…
หญิงสาวตวัดตามองติงชุนซานที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างรถยนต์ไม่ไกลนัก เธอพยักหน้าพูดเสียงเบา “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ได้ ฉันเข้าไปก่อนนะคะ”
หลังจากซูเสวี่ยจื้อเข้าประตูวิทยาลัยไปแล้วยังเหลียวหลังซ้ำๆ หลายครั้ง เห็นเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอด
เขายืนมองส่งเธอ
สุดท้ายเธอกลับถึงห้องพักเดี่ยวของตนเองพร้อมด้วยอารมณ์หม่นหมองวังเวงใจแซมแทรกด้วยความหวานล้ำจางๆ เช่นนี้
เธอยังพักอยู่ห้องเดิมที่ทางวิทยาลัยจัดให้ตอนมาถึงใหม่ๆ เมื่อปีก่อน ส่วนคนที่อยู่ห้องติดกันปีนี้ก็เป็นเพื่อนข้างห้องคนเก่าลู่ติ้งกั๋วรวมถึงเกาผิงเซิงซึ่งอยู่ห้องถัดไป
ในห้องของเกาผิงเซิงไม่เห็นแสงไฟลอดออกมา ดึกป่านนี้เขาคงเข้านอนไปนานแล้ว
ห้องติดกันก็ไม่มีคน ลู่ติ้งกั๋วมาเรียนต่อเฉพาะทาง ภาคการศึกษานี้ไม่จำเป็นต้องมาทุกวันเหมือนคนอื่น พักนี้เขาเลยไม่อยู่ห้อง
ซูเสวี่ยจื้อเข้าห้องแล้วลงกลอนจากด้านใน ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าล้มตัวลงนอน
ขณะนี้หนึ่งนาฬิกากว่าเป็นเวลาดึกมากแล้วจริงๆ ตอนหัวค่ำยังทำงานหนักอย่างนั้น เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดเลยทีเดียว เธอต้องการการพักผ่อนอย่างที่เขาบอกไว้จริงๆ แต่เธอกลับนอนไม่หลับ
หญิงสาวหลับตาพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่ในความมืด เธอนอนไม่หลับจริงๆ
แทนที่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ อย่างนี้ เธอไปดูของรักของหวงของเธอในห้องปฏิบัติการยังดีเสียกว่า