ในใจหญิงสาวสับสนยุ่งเหยิงไปหมด เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตอนที่ปริปากพูดอีกครั้งเธอพยายามทอดน้ำเสียงให้ช้าลงและราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ “คุณน้ากลับบ้านไปแล้วใช่ไหมครับ”
“ยังเลย” หนนี้เขาตอบเร็วมาก “แค่กลับเข้าเมือง ท่านผู้บัญชาการให้ผมไปส่งท่านที่กองบัญชาการ พอถึงที่นั่นก็บอกให้ผมกลับบ้านพักผ่อน ท่านบอกว่าไม่ได้เข้ากองบัญชาการนานแล้ว อยากสะสางงานราชการที่ค้างไว้ แล้วคืนนี้ก็จะนอนค้างที่นั่นด้วย ในห้องทำงานของท่านมีห้องพักผ่อนอยู่ เมื่อก่อนท่านก็เคยนอนในนั้นเป็นบางครั้งครับ”
เขาอธิบายอย่างใจเย็น “คุณชายซู คุณวางใจได้…” เขานิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วพูดกับเธอเป็นเชิงปลอบ
แต่เขายังพูดไม่ทันจบซูเสวี่ยจื้อก็วางหูโทรศัพท์แล้วไปที่หอพักนักเรียนชายที่เคยอยู่ตอนภาคเรียนแรก เธอเคาะประตูเรียก
ไม่นานนักเสียงด่าทอเอ็ดอึงของอดีตเพื่อนร่วมห้องก็ดังออกมาจากข้างใน
“ไอ้บ้าที่ไหนวะ ดึกๆ ดื่นๆ ไม่นอน มาทำเสียงหนวกหูชาวบ้าน! ไปไกลๆ…” เจี่ยงจ้งไหวด่าเสียงฮึดฮัดฉุนเฉียว
“ผมเอง!” ซูเสวี่ยจื้อส่งเสียงตอบ
“นางฟ้าเก้า?”
เสียงด่าเงียบหายไปทันใด จากนั้นเจี่ยงจ้งไหวมาเปิดประตูอย่างว่องไว ส่วนพวกเพื่อนร่วมห้องที่เหลือก็มุดออกมาจากผ้าห่ม จุดตะเกียงเจ้าพายุที่ทางวิทยาลัยห้ามใช้แต่พวกเขาแอบซ่อนเอาไว้เองเพื่อให้ความสว่าง มองเห็นซูเสวี่ยจื้อพรวดพราดเข้ามา
“มีเรื่องอะไรหรือ”
“ขอยืมจักรยานหน่อย” พอประตูเปิดออกเธอก็มองหารถจักรยาน
ในภาคเรียนนี้เจี่ยงจ้งไหวซื้อจักรยานไว้คันหนึ่งเหมือนกัน ปกติเขาหวงมาก ไม่ให้ใครยืมทั้งนั้น เวลาที่ตนเองไม่ขี่ก็จะเก็บไว้ในห้องพัก
เธอเดินเข้าห้องไปเห็นจักรยานคันนั้นจอดอยู่ริมผนังก็เข็นออกมา
“นี่ คุณขี่เป็นหรือเปล่า ดึกมากแล้วคุณจะไปที่ไหน หรือไม่ผมไปส่งคุณไหม” เจี่ยงจ้งไหวอ้าปากหาวไปพลางถามไปพลาง
“ไม่ต้อง ผมขี่เองได้…” ซูเสวี่ยจื้อเข็นจักรยานออกไปเลย ทิ้งอดีตเพื่อนร่วมห้องทั้งหลายที่งุนงงไปตามๆ กันไว้ที่เดิม
เธอบอกยามเฝ้าประตูก่อนออกจากวิทยาลัย ก้าวขานั่งคร่อมจักรยานขี่เข้าเมืองไปคนเดียวโดยอาศัยแสงจันทร์นำทาง
หญิงสาวปั่นจักรยานเร็วฉิวจนได้ยินเสียงล้อหมุนดังฟ้าวๆ เธอใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ขี่ผ่านถนนสายนั้นมาถึงนอกประตูเมืองทิศเหนือเพื่อเข้าเมือง
สมัยนี้ประตูเมืองยังมีการใช้กฎระเบียบแบบเดิมอยู่ ตอนกลางคืนจะปิดไว้ ห้ามไม่ให้คนทั่วไปเข้าออก
ซูเสวี่ยจื้อเรียกให้เปิดประตู ตอนแรกทหารยามผลัดดึกไม่เปิดให้และไล่เธอไป แต่พอได้ยินเธอบอกว่าเป็นหลานชายของเฮ่อฮั่นจู่ก็เปลี่ยนท่าทีทันควัน เปิดประตูเล็กให้เธอเข้ามา
เธอควบจักรยานพุ่งทะยานไปบนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนในยามค่ำคืน เลี้ยวผ่านถนนหลายสายจนมาถึงกองบัญชาการหน่วยทหารรักษาการณ์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง
ประตูรั้วเหล็กของกองบัญชาการปิดอยู่ เมื่อมองลอดซี่เหล็กจะเห็นตึกที่ทำการซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในลานกว้างหลังนั้นได้
ในเวลานี้ทั่วทั้งบริเวณของกองบัญชาการซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทอดสายตามองไปมีเพียงแสงริบหรี่ลอดจากหน้าต่างของตึกหลังนั้นกลางผืนราตรีสลัวเลือนราง
ดูท่าทางจะมีคนอยู่จริงๆ
หน้าประตูมีทหารยามเข้าเวรผลัดดึกอยู่
ซูเสวี่ยจื้อถามหาเฮ่อฮั่นจู่
ทหารยามคุ้นหน้าคุ้นตาเธอเป็นอย่างดี พักก่อนยังเคยได้รับคำสั่งว่าถ้าเธอมาที่นี่ ไม่ต้องซักถามและไม่ต้องรายงาน อนุญาตให้เข้ามาได้เลย เขาบอกเธอทันทีว่าท่านผู้บัญชาการอยู่ข้างใน
หญิงสาวเดินตัดลานกว้างที่มืดตื้อมาถึงชั้นล่างของตึกที่ทำการ เธอผลักประตูหน้าเปิดออก สาวเท้าผ่านโถงใหญ่ขึ้นบันไดตรงไปที่หน้าห้องทำงานของเขา
เธอยื่นมือไปจับลูกบิดประตูแล้วหมุนเปิดออก
สายตาของเธอปะทะเข้ากับโต๊ะทำงานของเขา โคมไฟดวงหนึ่งบนนั้นส่องแสงสว่างอย่างเงียบงัน
แสงไฟที่เห็นตรงหน้าประตูรั้วส่องออกมาจากในนี้นั่นเอง
โคมไฟสาดแสงกระทบพื้นโต๊ะ ซูเสวี่ยจื้อเห็นเอกสารแผ่กระจายอยู่บนนั้นดูรกมาก ตรงพนักเก้าอี้ก็มีเสื้อโค้ตตัวหนึ่งวางพาดไว้ตามใจชอบ
นี่เป็นเสื้อของเฮ่อฮั่นจู่ แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่
ซูเสวี่ยจื้อมองไปที่มุมซ้ายทางทิศใต้ของห้องทำงาน
ตรงนั้นมีประตูอีกบานหนึ่ง ขณะนี้มันเปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง
เธอเดินไปหยุดยืนหน้าประตู