หลังประตูเป็นห้องขนาดเล็กกว่า จัดพื้นที่แบบห้องนอนทว่าตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงโต๊ะเก้าอี้กับตู้เตียงเท่านั้น ข้างในไม่ได้เปิดไฟไว้ แต่อาศัยแสงสว่างรำไรจากโคมไฟในห้องทำงานดวงนั้น เธอมองเห็นเฮ่อฮั่นจู่แล้ว
เขานอนหงายนิ่งๆ อยู่บนเตียงในเสื้อผ้าชุดเดิม ดูท่าทางเหมือนหลับสนิท
แต่กระนั้นเธอกลับรู้สึกได้ว่าจริงๆ แล้วเขาตื่นอยู่และรู้ว่าเธอมาแล้ว
เขาหันหน้ามาช้าๆ ตามคาด ลืมตาขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“ดึกป่านนี้คุณมาได้อย่างไร” เขาถามคำหนึ่งด้วยเสียงแหบแห้ง จากนั้นพลิกตัวใช้มือขวายันเตียงจะลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางเก้งก้างอย่างเห็นได้ชัด
ซูเสวี่ยจื้อเดินเร็วรี่เข้าไป โน้มตัวยื่นสองมือไปกุมหัวไหล่เขา “คุณไม่ต้องลุก”
เขาชะงักไป เงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งมองดูเธอ
เธอกดตัวเขาลงอย่างเบามือ
เขาไม่แข็งขืนอีก หลุบตาเอนกายลงตามความต้องการของเธอ พิงหลังกับหัวเตียงในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน
เธอเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง
แสงโคมสีเหลืองอ่อนสาดส่องไปทั่วห้อง ทำให้มองเห็นสีหน้าท่าทางของผู้ชายตรงหน้าในที่สุด
บนหน้าของเขาไม่ได้ประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไว้อีก ตรงกันข้ามกับตอนที่ปรากฏตัวตรงหน้าเธอก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ภายใต้แสงไฟในตอนนี้เขาอยู่ในอาการเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่มีเส้นเลือดฝอยแผ่เต็มตา ใบหน้าหมองคล้ำฉายแววอิดโรยอ่อนเพลียละม้ายเพิ่งโดนถ่ายเลือดไปจนหมดตัว เสื้อเชิ้ตตัวในของชุดเครื่องแบบทหารที่ปกติเหมือนผ่านการรีดจนเรียบกริบเสมอที่สวมอยู่บนตัวก็ยับยู่ยี่ แลดูซูบซีดทรุดโทรมไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ซูเสวี่ยจื้อเลื่อนสายตาจากใบหน้าที่ดูอ่อนล้าไปหยุดที่แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเขาอึดใจหนึ่ง ถึงค่อยๆ นั่งลงตรงข้างเตียง
“หลังจากกลับไปฉันเห็นในหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเมื่อคืนคุณถูกลอบฆ่าหลังออกจากบ้านสกุลเฉา โดนยิงที่แขน การผ่าตัดเป็นอย่างไรบ้าง ใครเป็นคนผ่าให้คุณ” เธอถามด้วยสุ้มเสียงสงบนิ่งมากที่สุดเท่าที่ทำได้
เฮ่อฮั่นจู่ยกแขนขวาขึ้นลูบแขนที่บาดเจ็บของตนเองพลางบอกชื่อหมอคนหนึ่ง “ขั้นตอนผ่ากระสุนออกราบรื่นดี ไม่มีปัญหาอะไรมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ซูเสวี่ยจื้อเคยพบกับหมอคนนี้ในงานสัมมนาคราวก่อน เขาเป็นแพทย์ออร์โธปิดิกส์* ที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงจริงๆ เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เพราะอะไรคุณถึงไม่บอกไม่กล่าวเลยสักคำ” เธอจ้องตาเขาพร้อมกับเอ่ยถาม
หนนี้เธอควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยอยู่จริงๆ พาให้น้ำเสียงแฝงรอยไม่พอใจจางๆ
เขาใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
ซูเสวี่ยจื้อทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอพูดขึ้นว่า “คืนนี้ตอนคุณไปหาฉัน อยากจะพูดอะไรกับฉันกันแน่ ฉันรู้นะว่าคุณมีเรื่องอยากพูด”
เฮ่อฮั่นจู่ยังคงนิ่งเงียบดุจเก่า
แสงโคมหัวเตียงอาบไล้เสี้ยวหน้าด้านข้างคมเข้มของชายหนุ่ม เขาหลุบเปลือกตาลง แพขนตาทอดเงาโค้งสีดำอยู่ใต้ขอบตาล่าง ทำให้ดวงหน้าของเขาถูกฉาบทาด้วยแสงเงาหม่นมัวชั้นหนึ่ง
ซูเสวี่ยจื้อมองชายหนุ่มที่อ่อนล้าเงียบขรึมคนนี้อย่างพินิจ ในใจเธอเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นฉับพลัน
เธอพยักหน้าเอ่ย “คุณไม่พูดก็ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นฉันพูดก่อนแล้วกัน เรื่องแรกฉันต้องขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่คุณทำให้คุณอู๋ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามฉันรู้ว่าคุณพยายามเต็มที่แล้ว คุณทำทุกอย่างเท่าที่คุณทำได้ ไม่ว่าฉันหรือด็อกเตอร์อวี๋ต่างก็ซาบซึ้งใจคุณมาก”
สีหน้าของเขาในตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าเมื่อครู่สักเท่าไร ยังคงขาวซีดเต็มไปด้วยร่องรอยเหนื่อยล้าดังเก่า และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ สักนิดกับคำชมและคำขอบคุณของเธอ
“เรื่องที่สอง…” เธอหยุดเว้นจังหวะ “ถ้าคุณเคยได้รับคำบอกที่ฉันฝากผู้การติงไปถึงคุณตอนต้นปีล่ะก็ ฉันคิดว่าคุณไม่น่าจะถึงกับลืมมันไปแล้ว เฮ่อฮั่นจู่ ฉันรอคุณกลับมาอยู่ตลอด ฉันอยากได้ยินคุณบอกความหมายของแหวนที่วันนั้นคุณวิ่งไล่ตามรถไฟขึ้นมาให้ฉันวงนั้นจากปากของคุณเอง คุณหมายความว่าอะไร”
เธอทวนคำพูดของตนเองแล้วถามเขา
เฮ่อฮั่นจู่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดๆ หน้าผาก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาพูดขึ้นกะทันหัน “ขอโทษที ผมขอสูบบุหรี่สักมวนได้ไหม”
ซูเสวี่ยจื้อมองเขานิ่งๆ
เขาหลบสายตาเพ่งพิศของเธอ ถามจบแล้วขยับลุกขึ้นนั่งเองอย่างกินแรงเล็กน้อย ค่อยเอี้ยวตัวไปริมเตียง เอื้อมมือข้างที่ยังใช้งานได้ดึงลิ้นชักตู้หัวเตียงเปิดออกรื้อหาของในนั้นเอาเอง อึดใจต่อมาเขาค้นเจอบุหรี่กล่องหนึ่งแล้วหยิบออกมา
เฮ่อฮั่นจู่ใช้มือข้างเดียวเปิดฝา แต่คงเพราะใช้แรงมากไป ตอนฝากล่องเด้งเปิดมือเขาจึงกระตุกทีหนึ่ง บุหรี่ที่วางเรียงอยู่ในนั้นก็หล่นออกมาตกกระจายเต็มพื้นหน้าเตียง
เขาไม่มองสักแวบก็หยิบบุหรี่ที่เหลืออยู่ในกล่องตัวสุดท้ายมาคาบในปาก จากนั้นก้มหน้ารื้อของในลิ้นชักอีก แต่จนแล้วจนรอดกลับหาไฟแช็กไม่เจอ
“ในห้องประชุมคงมี…ผมไปประเดี๋ยวเดียวก็มา…”
คิ้วเข้มดกดำของชายหนุ่มย่นเข้าหากันแน่น ปากของเขาคาบบุหรี่ไว้ สีหน้าหงุดหงิดแกมหดหู่ เขาทำเสียงงึมงำในลำคอคำหนึ่งก่อนจะประคองแขนข้างที่บาดเจ็บไว้ พลิกตัวจะลงจากเตียง
ซูเสวี่ยจื้อลุกพรวดขึ้นเดินออกไปหาไฟแช็กที่เขาอยากได้จากในห้องประชุม หยิบมันกลับมาแล้วนั่งลงข้างเตียง กดล้อหมุนทีเดียวก็จุดติด เปลวไฟสีน้ำเงินเต้นระริกอย่างเงียบเชียบอยู่เหนือมือเธอ
เธอยื่นไฟแช็กไปตรงหน้าเขาโดยไม่พูดไม่จาสักคำ