เสียงฝีเท้าปราดเปรียวว่องไวดังขึ้นตรงระเบียงทางเดินนอกห้อง
ติงชุนซานมาถึงแล้ว
ซูเสวี่ยจื้อยืนขึ้นทันที เธอเห็นเขาลุกขึ้นตามตนเองก็บอกว่า “คุณได้รับบาดเจ็บอยู่ ไม่ต้องไปส่งฉัน”
เธอพูดจบแล้วหมุนตัวเดินออกไป
เฮ่อฮั่นจู่พูดขึ้น “ให้ผมไปส่งคุณที่หน้าประตูใหญ่เถอะ”
ซูเสวี่ยจื้อเอ่ยปากบอกโดยไม่เหลียวหลัง “ไม่ต้องจริงๆ…”
“ไม่เป็นไร ผมไปส่งคุณดีกว่า…”
ในเสี้ยวเวลานี้เองหญิงสาวพลันรู้สึกว่าความอดทนของเธอสิ้นสุดลง ในใจเหลือเพียงความหงุดหงิดรำคาญเหลือจะกล่าว
เพราะอะไรถึงมีผู้ชายร่ำไรแบบนี้นะ…
“ฉันก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องการให้คุณไปส่ง คุณฟังไม่รู้เรื่องหรือ!” เธอหันหน้าขวับ ขึ้นเสียงเอ็ดใส่อย่างเกรี้ยวกราด
เขาชะงักฝีเท้าหยุดยืนนิ่ง
ติงชุนซานที่อยู่นอกประตูสะดุ้งตกใจ เขามองคนทั้งคู่แวบหนึ่งแล้วรีบหันหน้าไปทางอื่น แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“คุณชายซู ผมจะไปรอคุณข้างนอก” เขาพูดจบแล้วก็ไม่แม้แต่เหลียวซ้ายแลขวา สาวเท้าเร็วรี่ออกไปรอด้านนอกประตูรั้ว
ซูเสวี่ยจื้อตวาดเฮ่อฮั่นจู่ไปแล้วก็เสียใจภายหลังทันที เธอไม่รู้มาก่อนว่าที่จริงตนเองก็เป็นคนอารมณ์ร้ายขนาดนี้
เธอมองตามแผ่นหลังของติงชุนซานที่ออกไปอย่างรีบร้อน พรูลมหายใจออกช้าๆ สงบสติอารมณ์ก่อนเอ่ยขอโทษ “ขอโทษค่ะ ฉันหมายความว่าคุณไม่ต้องไปส่งฉัน คุณบาดเจ็บอยู่ ไม่จำเป็นจริงๆ”
“ผมเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นผมไม่ไปส่งแล้วนะ” เขาตอบเสียงทุ้มเบา
บนหน้าซูเสวี่ยจื้อปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง เธอพยักหน้าแล้วหมุนตัวออกจากห้องทำงาน
ตอนเธอก้าวออกจากตึกเดินอยู่ในลานกว้างที่มืดมิดไร้แสงไฟ ขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวทันทีอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย
เธอกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาพร้อมสลัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป จากนั้นสาวเท้าเดินต่อไปทางด้านนอก
ติงชุนซานยกยานพาหนะสองล้อที่พาเธอมาที่นี่ขึ้นไปวางบนรถแล้ว ส่วนตัวเขารออยู่หน้าประตูทางเข้า พอเห็นเธอออกมาก็เปิดประตูรถและเชิญเธอขึ้นไป
ซูเสวี่ยจื้อขอบคุณเขาแล้วขึ้นรถ
เฮ่อฮั่นจู่ยืนนิ่งๆ อยู่หลังม่านหน้าต่างของห้องทำงานมองตามรถยนต์ที่เธอนั่งอยู่จนหายลับตาไป ถึงก้าวฝีเท้าที่หนักอึ้งกลับมานั่งลงที่ข้างโต๊ะทำงาน ผลักเอกสารที่วางกองระเกะระกะบนโต๊ะออก ก่อนจะหยิบกระดาษจดหมายออกมาเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘เรียนท่านหัวหน้าใหญ่เจิ้งที่เคารพ’ ลงบนนั้น
เขาพบกับจ้าวมังกรเจิ้งเมื่อช่วงต้นเดือนก่อน ตอนนี้เริ่มเข้าเดือนสามแล้ว
จดหมายฉบับนี้เขาควรเขียนตอบตั้งนานแล้ว
สกุลเฮ่อเป็นตระกูลปัญญาชนสืบต่อกันมาทุกรุ่น ส่วนเขาก็ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินอยู่เป็นประจำตั้งแต่วัยเด็ก อีกทั้งปู่ยังฝากความหวังไว้ที่ตัวเขา รวมถึงปัญหาสุขภาพที่ส่งผลให้เขาทำอะไรไม่ได้มากนอกจากเล่าเรียนเขียนอ่าน ด้วยเหตุนี้เขามักถือหนังสือติดมือไว้ทั้งวัน
แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นพหูสูต แต่สำหรับเขาแล้วการจับปากกาเขียนจดหมายสักฉบับเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
กระนั้นชั่วขณะนี้พอเขียนประโยคนี้เสร็จ เขากลับจรดปากกาเขียนต่อไม่ได้สักที
หลังจากที่สองจิตสองใจและโอนเอนไปมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ในที่สุด
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็แค่จดหมายฉบับเดียว เหตุใดถึงได้หัวตื้อเขียนไม่ออกเหมือนว่ามันยากเย็นเสียเต็มประดาแบบนี้ด้วย
ชายหนุ่มเพ่งตามองตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนกระดาษประโยคนั้นเป็นนาน กว่าจะเริ่มขยับปากกาเขียนต่อจนจบทั้งหมดสองแผ่น จากนั้นวางปากกาลงแล้วใส่ซองปิดผนึก
จดหมายตอบกลับฉบับนี้ของเขาจะถูกส่งออกไปโดยเร็วที่สุด
ทุกอย่างเรียบร้อย
เขาเฝ้ารอวันนี้มาตั้งแต่อายุสิบสองปี เวลาแห่งการล้างแค้นของเขาคนเดียวใกล้จะมาถึง
หวังว่าเขาจะสามารถทำได้อย่างที่บอกไว้ตอนท้ายจดหมาย
เฮ่อฮั่นจู่ปิดไฟแล้วนั่งคิดคำนึงอยู่ในห้องทำงานของกองบัญชาการตามลำพัง ตัวเขากลืนหายไปในความมืดดุจห้วงน้ำลึก
* ระบำก็องก็อง (Cancan dance) เป็นการเต้นระบำประกอบดนตรีรูปแบบหนึ่งมีที่มาจากประเทศฝรั่งเศส โดยมีท่าเต้นเตะขาสูงที่สวยงามพร้อมกับการสะบัดกระโปรงที่เป็นเอกลักษณ์
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 เม.ย. 67