บทที่ 190
สองวันให้หลังที่เมืองเทียน ผู้อำนวยการเหอไปถึงวิทยาลัยแต่เช้าตามปกติ ช่วงเวลาอาหารเช้านักเรียนมากมายมายืนอออยู่หน้าจุดติดประกาศ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ ดูเหมือนจะมีการติดประกาศใหม่ตรงนั้น
เขาจำไม่ได้ว่าวันนี้ทางวิทยาลัยมีเรื่องใหม่จะประกาศจึงสาวเท้าเข้าไป นักเรียนเห็นผู้อำนวยการมาก็พากันหันมาโค้งคำนับ พอได้ยินเขาถามว่าดูอะไรกันอยู่ ทุกคนต่างทำสีหน้าชอบกลๆ มองหน้ากันไปมา แต่กลับไม่มีคนตอบคำถาม
ผู้อำนวยการเหอฉงนใจจึงเดินฝ่ากลุ่มนักเรียนไปด้านหน้าจุดติดประกาศเองแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เห็นกระดาษข้อความเขียนด้วยลายมือสิบกว่าแผ่นติดอยู่บนนั้นอย่างสะเปะสะปะ พอเขาอ่านจับใจความได้ ไฟโทสะก็พลุ่งขึ้นในอกทันควัน ยกนิ้วขึ้นชี้พร้อมถาม “ใครเป็นคนแปะ!”
พวกนักเรียนส่ายหน้ากันใหญ่ หนึ่งในนั้นบอกว่าตอนผ่านมาทางนี้เมื่อเช้าก็เห็นมันอยู่ตรงนี้แล้ว น่าจะเป็นใครก็ไม่รู้แอบเอามาแปะไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ผู้อำนวยการเหอดึงกระดาษข้อความหลายแผ่นด้านหน้าออก นักเรียนหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาช่วยอีกแรง เขาสั่งให้แยกย้ายเดี๋ยวนี้ ทุกคนเห็นเขาโมโหโทโสแล้วไม่กล้ากระทั่งหายใจเสียงดัง รีบสลายตัวไปคนละทิศคนละทาง
ผู้อำนวยการเหอเข้าไปในห้องทำงานแล้วดูกระดาษข้อความที่เพิ่งถูกขยำจนยับหลายแผ่นนั่น พอจะอ้าปากเรียกผู้ช่วยให้ไปตามหัวหน้าฝ่ายวิชาการมาเพื่อตรวจสอบว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ กลับเห็นผู้ช่วยทำท่าละล้าละลัง เลยถามว่ามีเรื่องอะไร
ผู้ช่วยรู้ว่าซูเสวี่ยจื้อเป็นลูกศิษย์คนโปรดที่ผู้อำนวยการเหอภาคภูมิใจมากที่สุด แม้จะเรียนจบไปแล้ว แต่อาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้ยังติดต่อส่งข่าวถึงกันบ่อยๆ จึงลังเลใจอยู่บ้าง ทว่าก็รู้แก่ใจว่าคงปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้ เขายื่นหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าของวันนี้ส่งให้ พูดอึกๆ อักๆ ว่าเมื่อครู่นี้เขาบังเอิญเห็นข่าวเล็กๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์เหมือนกัน
ผู้อำนวยการเหอรับมาเปิดดูอย่างตกใจ เห็นหน้าในมีบทวิจารณ์ซึ่งใช้นามปากกาที่ไม่รู้จัก หัวข้อคือ ‘ว่าด้วยการยกระดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาล’ ส่วนเนื้อหาเป็นการเขียนแจกแจงถึงพฤติกรรมด้านลบต่างๆ นานาของหน่วยงานรัฐส่วนใหญ่ และเรียกร้องให้ปฏิรูประบบราชการ โดยยกตัวอย่างว่ามีนายทหารระดับสูงทรงอำนาจคนหนึ่งไม่คำนึงถึงเกียรติของตน มีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกคนของกรมสาธารณสุขมาเป็นเวลายาวนาน การกระทำเช่นนี้ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ก่อให้เกิดผลกระทบเลวร้ายต่อสังคม ถึงจะไม่ได้ระบุชื่อ แต่บอกตำแหน่งอย่างชัดเจน ขอแค่เป็นคนที่ปกติสนใจเรื่องนี้อยู่สักหน่อยก็เดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้เป็นใคร
พอผู้อำนวยการเหอเห็นคำว่า ‘เลี้ยงต้อย’ ในเนื้อความ เขาก็เอาหนังสือพิมพ์ฟาดโต๊ะเต็มแรงอย่างสุดทน “เหลวไหลทั้งเพ! เป็นถึงหนังสือพิมพ์ใหญ่ที่นำเสนอข่าวให้ประชาชนกลับลงบทความแบบนี้ ใส่ร้ายป้ายสี สกปรกสิ้นดี! ใครเป็นคนบงการ น่าอัปยศจริงๆ น่าอัปยศอดสูที่สุด”
ถึงเมื่อสองวันก่อนจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในคืนงานแต่งงานของสกุลหวัง แต่เมื่อพิจารณาจากเหตุผลทุกด้านแล้วจึงมีคำสั่งให้ปิดเรื่องนี้ไว้ห้ามลงข่าว ด้วยเหตุนี้ผู้อำนวยการเหอจึงไม่รู้ว่าเฮ่อฮั่นจู่ปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว ยังนึกว่าเขาอยู่ที่เมืองอื่น อีกทั้งไม่รู้ว่าซูเสวี่ยจื้อออกจากเมืองหลวงไปแล้วเช่นกัน
หลังจากความโกรธคลายลงผู้อำนวยการเหอก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว คนพวกนั้นต้องการโจมตีเฮ่อฮั่นจู่เพื่อทำลายชื่อเสียงและบารมีของเขา และยังทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในเมื่อมีกระดาษข้อความถูกแปะติดไว้ที่นี่ ทางซูเสวี่ยจื้อก็ต้องโดนหางเลขด้วยแน่ ผู้อำนวยการเหอเป็นห่วงนักเรียนของตนเองเป็นอันดับแรก แต่ขณะคิดจะโทรศัพท์ติดต่อซูเสวี่ยจื้อ อาจารย์คนหนึ่งก็มาหาอย่างร้อนรน บอกว่ามีพวกรับจ้างเขียนข่าวซุบซิบอ้างตัวเป็นนักข่าวมาชุมนุมกันอยู่ด้านนอกเป็นโขยง ทำท่าทำทางลับๆ ล่อๆ อยากจะแอบเข้ามาสัมภาษณ์นักเรียนเลยโดนยามหน้าประตูขวางไว้ แต่ไล่ไปแล้วก็ย้อนมาใหม่ไม่ยอมกลับไปเหมือนแมลงวันตอม อาจารย์คนนั้นถามว่าจะทำอย่างไรดี
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนรับมือไม่ทันยิ่งทำให้ผู้อำนวยการเหอมั่นใจว่าเรื่องนี้มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง เขาสะกดกลั้นความโกรธไว้แล้วสั่งให้ปิดประตูใหญ่อย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทั้งสิ้น จากนั้นโทรศัพท์ไปโรงงานที่ชานเมืองทิศตะวันตกโดยไม่รอช้า ทว่าไม่มีคนรับสาย เขาจึงโทรศัพท์ไปหาท่านจง แต่สายไม่ว่างตลอด ขณะร้อนอกร้อนใจผู้ช่วยของเขาก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา ชูจดหมายในมือฉบับหนึ่ง บอกเสียงดังว่า “ผู้อำนวยการครับ เมื่อครู่มีคนส่งจดหมายมา บอกว่าได้รับไหว้วานจากเสี่ยวซู ขอให้ท่านเปิดอ่านด้วยตนเองครับ”
ผู้อำนวยการเหออึ้งไปแล้วรีบรับมาเปิดออกอย่างลุกลี้ลุกลน
ซูเสวี่ยจื้อเขียนจดหมายฉบับนี้ไว้ล่วงหน้าแต่แรก และถูกส่งออกมาเมื่อสองวันก่อน