บทที่ 191
สิ้นเสียงเฮ่อฮั่นจู่ รอบด้านพลันตกอยู่ในความเงียบ
ขบวนต้อนรับวันนี้อาจดูเอิกเกริกยิ่งใหญ่และอบอุ่นชื่นมื่น แต่จริงๆ แล้วเพราะข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเฮ่อฮั่นจู่ซึ่งแพร่สะพัดมาถึงที่นี่เมื่อหลายวันก่อนทำให้บรรยากาศแปลกพิกลไปแต่แรกแล้ว
เดิมทีเรื่องพรรค์นั้นมีมาแต่โบราณและไม่ใช่เขาคนเดียว จึงไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรงอะไร ก็แค่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่กระนั้นหากพูดในอีกมุมหนึ่ง จะอย่างไรมันก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม ถึงแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ตาม หากโชคไม่ดีถูกฝ่ายตรงข้ามรู้เข้าจนนำมาขยายให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เพื่อเล่นงาน และยิ่งผู้เกี่ยวข้องอีกคนยังเป็นคนมีชื่อเสียงพอดีล่ะก็ มันจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
คนที่มีความสัมพันธ์กับเฮ่อฮั่นจู่ก็โดนขุดคุ้ยประวัติความเป็นมาละเอียดยิบ เขาคนนี้แซ่ซู ชื่อเสวี่ยจื้อ ลูกชายของสกุลซูแห่งห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อที่โด่งดังในเมืองซวี่และเป็นญาติห่างๆ กับเฮ่อฮั่นจู่ ทั้งคู่มีศักดิ์เป็นน้าหลานต่างสกุล พักก่อนเขาไปเรียนหนังสือที่เมืองเทียน เพราะมีพรสวรรค์ในด้านการแพทย์มาก จึงฉายแววโดดเด่นในเวลาสั้นๆ จนมีชื่อเสียงที่เมืองหลวงในเวลานี้ ส่วนคนที่คบค้าสมาคมกันเป็นประจำก็เป็นคนมีหน้ามีตาทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ผู้ทรงอำนาจในท้องถิ่นไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับเฮ่อฮั่นจู่นัก ตอนนี้มีข่าวโพนทะนาจนรู้กันไปทั่ว ซ้ำได้ยินว่าเรื่องนี้ทำให้เขาโดนเพ่งเล็งจากพวกมือถือสากปากถือศีลในเมืองหลวงไม่น้อยที่พากันติเตียนโจมตีอย่างรุนแรง เห็นว่ายุคนี้ศีลธรรมตกต่ำลงทุกที เฮ่อฮั่นจู่มีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ใช่คนสุจริต ส่งผลกระทบด้านลบร้ายแรงต่อสังคม สมควรโดนประณามหยามเหยียด ด้วยเหตุนี้หลายวันก่อนพอรู้ว่าเขาจะเดินทางผ่านที่นี่ กลุ่มคนที่เตรียมตัวมาต้อนรับก็มีความคิดอยากดูเรื่องน่าสนุกอย่างช่วยไม่ได้ พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านบางคนถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างเปิดเผย ไม่เพียงเท่านั้นนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ได้ข่าวก็รีบมาที่นี่ในวันนี้ด้วย
ซูเสวี่ยจื้อแสดงสีหน้าสงบนิ่ง เธอค้อมศีรษะน้อยๆ ให้ทุกคนเบื้องหน้า
นักข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งรับเงินจากเพื่อนร่วมอาชีพที่เมืองหลวงมาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ให้สัญญาว่าจะมาวันนี้แล้วกลับไปเขียนข่าวใส่สีตีไข่ให้เป็นเรื่องใหญ่อีกที จึงคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลายเป็นอย่างนี้ พยายามเบียดคนอื่นๆ ขึ้นไปด้านหน้าจนเห็นซูเสวี่ยจื้อแล้วถามอย่างหัวเสียจนแทบเต้นเร่าๆ “คุณซู ปีที่แล้วผมประจำอยู่ที่เมืองหลวง เคยเห็นคุณที่งานสัมมนางานวิจัยทางการแพทย์นานาชาติกับตา ตอนนั้นคุณยังเป็นนักเรียนของวิทยาลัยแพทย์ทหารบกอยู่เลย คุณจะเป็นผู้หญิงได้อย่างไรกันครับ”
ซูเสวี่ยจื้อชายตามองเฮ่อฮั่นจู่
ชายหนุ่มยังคงรักษากิริยามารยาทไว้ พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดังเดิม “เวลาคุณหนูซูอยู่ข้างนอกจะแต่งตัวเป็นผู้ชายเพื่อความสะดวกคล่องตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ เธอตั้งปณิธานไว้ว่าจะไปเรียนด้านการแพทย์ในสถาบันการศึกษาชั้นสูง แต่อย่างที่ทุกๆ ท่านทราบกันดี การศึกษาระดับสูงในยุคปัจจุบัน นอกจากมหาวิทยาลัยสตรีที่ตั้งขึ้นเพื่อผู้หญิงซึ่งมีอยู่นับนิ้วได้แล้ว โดยทั่วไปประตูก็ยังไม่ได้เปิดกว้างสำหรับทุกคน เพียงเพราะความต่างระหว่างเพศสภาพ ผู้หญิงเลยถูกลิดรอนสิทธิ์ที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงขึ้น นี่คือการเลือกปฏิบัติและไม่ยุติธรรมโดยสิ้นเชิง คุณหนูซูอยากทำความฝันให้เป็นจริง ก่อนหน้านี้ถึงได้เดินทางจากบ้านมาศึกษาเล่าเรียนในฐานะของผู้ชายอย่างไม่มีทางเลือกก็เท่านั้นเองครับ”
พอเขาพูดจบก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ดังระงมทั้งสี่ด้าน นักข่าวคนนั้นอ้าปากค้าง “มะ…มันเป็นไปได้อย่างไร”
รอยยิ้มบนหน้าเฮ่อฮั่นจู่เลือนหายไป พาให้สีหน้าท่าทางปึ่งชาขึ้น “คุณเป็นใครกัน ต้องรายงานให้คุณรู้ทุกเรื่องด้วยหรือ”
พอเขาพูดจบทหารคุ้มกันประจำขบวนเดินทางก็เข้ามากันนักข่าวที่ขวางทางคนนี้ออกไป ตอนนี้เองคนอื่นๆ คิดตามทันแล้ว รู้ว่าเป็นเพียงความเข้าใจผิด จึงต่างก้าวเข้ามาจับมือกับเฮ่อฮั่นจู่ ยังเรียกซูเสวี่ยจื้อว่าคุณหนูซู ทั้งพูดสรรเสริญว่าเธอคือฮวามู่หลันกลับชาติมาเกิด และไม่ลืมชมว่าทั้งคู่เป็นคู่สร้างคู่สมกัน
ตลอดการเดินทางมาครั้งนี้ช่วงแรกเฮ่อฮั่นจู่พยายามปิดเงียบเต็มที่ มีแค่สถานีสุดท้ายแห่งเดียวนี้ที่เขาปรากฏตัวต่อสาธารณะ ยังตอบตกลงหยุดพักที่นี่ตามคำเชิญและไปท่องเที่ยวรอบๆ พร้อมกับซูเสวี่ยจื้อ
ที่แห่งนี้ถูกขนานนามแต่โบราณกาลว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉู่ จวบจนถึงปลายราชวงศ์ชิงยังได้รับฉายาเป็น ‘นครชิคาโกแห่งตะวันออก’ ที่เลื่องลือระบือไกลทั้งภายในภายนอกประเทศ จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนเขากับเธอก็มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นจับตา กิริยาท่าทางสง่าภูมิฐานผิดจากคนทั่วไป อีกทั้งมีคนล้อมหน้าล้อมหลังเป็นขบวนใหญ่ ไปที่ไหนก็ดึงดูดผู้คนแถวนั้นให้เข้ามามุงดู จะบอกว่าสร้างความฮือฮาเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั้งเมืองก็ไม่เกินความจริงแม้แต่นิดเดียว