“อวิ๋นจิ่น! อีกหน่อยจะเป็นอย่างไรก็ช่าง นี่เพราะหลานชายสกุลเฮ่อระลึกถึงความหลัง ถึงแสดงทีท่าเต็มใจนับพวกเราเป็นญาติเหมือนเดิม แล้วพวกเราจะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้หรือ สวินต้าโซ่วมีลู่หงต๋าหนุนหลัง พวกเรามีสกุลเฮ่อ!”
“ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ พูดขึ้นมาแล้วตอนนั้นสกุลเฮ่อก็โดนคนแซ่ลู่ให้ร้ายไม่ใช่เหรอ” หงเหลียนพูดแทรกขึ้นอย่างตื่นเต้น
เมื่อครั้งสมัยราชวงศ์ชิง สกุลเฮ่อเป็นตระกูลขุนนางทุกชั่วรุ่นของเมืองเฉิงตู เวลานั้นนายท่านใหญ่เป็นขุนนางใหญ่ของเจียงหนาน* มีหน้าที่บริหารกิจการค้าเกลือ แต่เพราะเขาไม่อยากสมรู้ร่วมคิดกับลู่หงต๋าคนถิ่นเดียวกันซึ่งรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองในตอนนั้น จึงไม่เพียงโดนปรักปรำ แต่ยังโดนกล่าวหาว่าสกุลเฮ่อเคยติดต่อกับสือต๋าไคพวกกบฏผมยาว ที่หลบเข้าไปอยู่ในเสฉวนหลายสิบปี ซ้ำยังมีหลักฐานยืนยันว่าสกุลเฮ่อเป็นกบฏจริงๆ และลอบซุกซ่อนสมบัติของกบฏผมยาวจำนวนมหาศาลไว้หลังจากสือต๋าไคตายไปอีกด้วย
นายท่านใหญ่สกุลเฮ่อหาสมบัติก้อนนั้นมาไม่ได้ อีกทั้งไม่สามารถล้างมลทินให้สกุลเฮ่อ ราชสำนักจึงพิพากษาลงโทษ ในยุคที่คนเลวเรืองอำนาจในแผ่นดิน สกุลเฮ่อที่เดิมเป็นตระกูลใหญ่ทรงเกียรติของถิ่นนี้จึงหายลับจากสายตาของชาวเมืองเฉิงตู
สิบกว่าปีต่อมา ขณะเรื่องอดีตของสกุลเฮ่อค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือนไป ทายาทของสกุลเฮ่อกลับปรากฏตัวขึ้นอีก ซ้ำยังมีอำนาจหนุนหลังคนอื่นได้ พี่ชายถึงได้รีบร้อนมาหาเธอแบบนี้
เยี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังลังเลใจ
ฝ่ายพี่ชายไม่ได้สังเกตว่าน้องสาวเงียบไป เขายังพูดไปเรื่อยๆ “อวิ๋นจิ่น อย่าไปสนใจว่าเป็นราชวงศ์ชิงหรือชัง พวกหมวกแดง ต่างหากที่สำคัญ โดยเฉพาะครอบครัวอย่างพวกเรา ดังนั้นพี่ถึงมาหาเธอ รีบส่งเสวี่ยจื้อไปที่นั่นให้รู้จักกับน้าชายคนนี้ไว้ จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปไม่ได้เด็ดขาด”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นสองจิตสองใจครู่หนึ่ง ครั้นคิดถึงเมื่อสามวันก่อนที่ลูกสาวแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวอย่างนั้น ในที่สุดเธอก็จนปัญญาจะยืนกรานในความคิดของตนเองต่อไป
เธอพูดหยั่งเชิง “พี่ใหญ่ หลานชายสกุลเฮ่อไม่ได้เจาะจงให้เสวี่ยจื้อไป พี่ก็รู้ว่าเธอไปคงไม่ค่อยสะดวกนัก ฉันว่าเรียกเสียนฉีกลับมาจากตงหยาง ดีกว่า ให้เขาไปเรียนก็คงเหมือนๆ กัน”
เยี่ยเสียนฉีเป็นลูกชายคนเดียวของเยี่ยหรู่ชวน เมื่อสองปีที่แล้วตอนซูเสวี่ยจื้อไปเรียนวิทยาลัยแพทย์ในเมืองเฉิงตู เขาไม่ชอบที่นั่น บอกว่าจะไปเรียนต่อที่ตงหยางเพราะวิชาการแพทย์ของทางนั้นเจริญก้าวหน้า แม้ว่าเยี่ยหรู่ชวนจะไม่วางใจ แต่สุดท้ายขัดใจลูกชายไม่ได้ จึงตอบตกลงตามความต้องการของเขาและส่งไปเรียนต่อที่ตงหยาง ตอนนี้ก็ผ่านไปสองปีแล้ว
เยี่ยหรู่ชวนเอ่ย “มีหรือพี่จะไม่รู้ว่าเสวี่ยจื้อไปไม่สะดวก ก่อนหน้านี้พี่ส่งโทรเลขถึงเสียนฉีบอกให้เขากลับมา แต่เขาไม่ยอม พูดทำนองว่าไม่มีเป้าหมายจะเป็นข้าราชการ ทั้งยังบอกว่ากำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเรียน เขาทำคะแนนได้ดีเยี่ยมทุกวิชา เป็นเด็กเรียนเก่ง พอเรียนจบที่ตงหยาง อาจารย์จะแนะนำเขาไปทางซีหยางเพื่อเรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปอีก หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมกลับ พี่หมดปัญญาจริงๆ จะให้ไปถึงตงหยางลากตัวกลับมาก็คงไม่ได้ ถึงคิดว่าให้เสวี่ยจื้อไปแทนก่อน รอเสียนฉีเรียนจบกลับมาแล้วค่อยวางแผนกันใหม่อีกที ตอนนี้ขอแค่ผูกสัมพันธ์กับสกุลเฮ่อไว้ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ถึงเวลานั้นด้วยคุณสมบัติของเสียนฉี ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะไม่ช่วย อวิ๋นจิ่น เธอวางใจได้ พี่คิดทุกอย่างไว้แล้ว”
เขาพูดต่อ “พอเสวี่ยจื้อไปถึงที่นั่น ทั้งเรื่องเข้าเรียนและการกินการอยู่ พี่เตรียมการไว้พร้อมหมดแล้ว ไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ แน่”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว เธอบุ้ยใบ้บอกให้หงเหลียนเฝ้าหน้าประตูและถึงเล่าเหตุการณ์ที่ลูกสาวยื่นคำขาดจะกลับไปใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง ก่อนก่อความวุ่นวายขึ้นจนเกือบเสียชีวิตเมื่อสามวันก่อน
“พี่ใหญ่…” ผู้หญิงที่ไม่ยอมแพ้ใครมาครึ่งชีวิตถึงกับตาแดงเรื่อแล้ว
“ฉันเป็นคนอาภัพ ชั่วชีวิตนี้ฉันมีเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่คนเดียว เดิมทีฉันตั้งใจว่าเจอคนที่เหมาะสมเชื่อถือได้เมื่อไรก็จะขอให้แต่งเข้าตระกูลแล้วให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิง ตอนนี้ดูท่าว่าจะทำไม่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะให้เธอไปเรียนหนังสือที่นั่นอีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอจริงๆ พี่ว่าฉันอยู่ไปจะมีความหมายอะไร”
เยี่ยหรู่ชวนอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปในชั่วขณะ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.