บทที่ 3
หงเหลียนวางน้ำแกงกระดูกหมูในมือลงโดยไม่พูดจา เธอออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้นายท่านเยี่ยกับนายหญิงของเธอพูดคุยกันตามประสาพี่น้อง
ชีวิตตลอดหลายปีนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นเดินผ่านมาทีละก้าวๆ อย่างไร ไม่มีใครแจ่มแจ้งไปกว่าเยี่ยหรู่ชวนผู้เป็นพี่ชายแล้ว
ซูหมิงเซิ่งน้องเขยของเขาหรือนายน้อยของสกุลซูในตอนนั้นเป็นคนมีการศึกษา สุภาพมีมารยาท ชอบงานสังสรรค์รื่นเริง ร่ายกลอนต่อโคลง ซูหมิงเซิ่งมีคนรักอยู่ก่อน ไม่นานนักก็ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาลับ ภายหลังยังติดฝิ่นอีก ยามนั้นนายท่านสกุลซูก็สุขภาพไม่ดีแล้ว กิจการของสกุลซูต้องอาศัยน้องสาวของเขาถึงถูๆ ไถๆ ประคับประคองไว้ได้
สิบปีผ่านไป ร่างกายของน้องเขยทรุดโทรมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คนที่ไม่เคยอยู่บ้านมานานถึงกลับมายังเรือนของสกุลซูที่ถูกเขาขายไปครึ่งหนึ่งในที่สุด
คงเพราะไปจุดธูปไหว้สุสานบรรพบุรุษของสกุลซูได้ถูกเวลาสักที ช่วงเวลานั้นเองน้องสาวเขาจึงตั้งท้องจนได้
ตอนแรกนี่เป็นเรื่องมงคลสมควรฉลองครั้งใหญ่ คาดไม่ถึงว่าต่อมาไม่นาน จากงานฉลองจะกลายเป็นงานศพ
มีวันหนึ่งน้องเขยดื่มเหล้าจนเมาไม่ได้สติแล้ววิ่งออกไปอาละวาดข้างนอก สุดท้ายไม่ทันระวังเท้าเหยียบพลาดพลัดตกลงไปในแม่น้ำไหลเชี่ยว มีคนช่วยขึ้นจากน้ำแล้วส่งตัวกลับมาที่บ้าน แต่ไม่นานนักก็จากไป
น้องสาวเขาคลอดลูกสาวออกมาก็กำพร้าพ่อ ตอนนั้นมีปัญหาต่างๆ รุมเร้า ถึงจำใจเลี้ยงลูกสาวให้เป็นลูกชาย หลายปีมานี้กว่าจะผ่านพ้นมาได้ต้องฟันฝ่าขวากหนามมามากเท่าไรก็สุดรู้ เดิมนึกว่าจะได้ลืมตาอ้าปากแล้ว คิดไม่ถึงว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง แล้วตอนนี้ยังเกิดอุปสรรคด่านใหญ่ขึ้นอีก
ตอนเยี่ยหรู่ชวนเดินทางมาไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลยสักนิด เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าหลานสาวจะก่อเรื่องขึ้น
ตัดใจดีกว่า ทว่าโอกาสลอยมาจากฟ้าทั้งที…
แต่ครั้นจะหว่านล้อมให้น้องสาวบังคับฝืนใจหลานสาวให้เป็นนายน้อยสกุลซูต่อไป เช่นนั้นเขายังมีความเป็นคนอยู่อีกหรือ
“…เธอไม่ต้องคิดมากแล้ว เอาอย่างนี้ พี่จะส่งโทรเลขไปหาเสียนฉีอีก บังคับให้เขากลับมาเดี๋ยวนี้”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่พอนึกถึงน้ำเสียงแน่วแน่เด็ดขาดของลูกชายคราวก่อนก็ทำให้เยี่ยหรู่ชวนไร้ความมั่นใจจริงๆ เป็นเหตุให้เขารู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทันใด และรู้สึกเจ็บที่หน้าผากกับขาเหลือเกิน
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่หลานชายแล้ว
เธอแอบถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วตั้งท่าจะยกชามน้ำแกงให้พี่ชายดื่ม ตอนนั้นเองเสียงบอกแฝงความดีอกดีใจของหงเหลียนก็พลันดังลอยมาจากข้างนอก “นายหญิง นายท่านเยี่ย พวกท่านดูซิว่าใครกลับมาแล้วเจ้าคะ”
ประตูถูกคนเคาะสองทีก่อนจะเปิดออก ชายหนุ่มผิวขาวเกลี้ยงเกลาสวมสูทใส่รองเท้าหนังคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกห้อง เขาใส่แว่นตากรอบทอง มือหนึ่งถือไม้เท้าตามสมัยนิยม มือหนึ่งหิ้วหีบเดินทาง
เขาหยุดยืนนิ่ง ดวงตาหลังแผ่นเลนส์ระนาบใสทั้งคู่มองกวาดไปรอบห้องอย่างฉับไว ก่อนหยุดสายตาที่ตัวเยี่ยหรู่ชวนบนเตียง เขาปล่อยมือทิ้งไม้เท้ากับหีบเดินทาง แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่พุ่งไปยังข้างเตียง
“พ่อ เป็นอย่างไรบ้างครับ พ่อไม่เป็นไรนะ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นตะลึงงัน ช่างตรงกับสำนวนที่ว่าพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา โดยแท้
ชายหนุ่มที่พรวดพราดเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเยี่ยเสียนฉี หลานชายที่เพิ่งพูดถึงเมื่อครู่นี้ของเธอนั่นเอง!