เยี่ยหรู่ชวนก็เพิ่งเรียกสติคืนมาได้เหมือนกัน เขาอ้าปากพูด “แกยังอยู่ที่ตงหยางไม่ใช่เหรอ หนก่อนยังบอกว่าเรียนหนัก ตอนปิดเรียนก็ไม่กลับ! แล้วนี่กลับมาตอนไหน”
เยี่ยเสียนฉีมองสำรวจผู้เป็นพ่อบนเตียง แม้จะอยู่ในสภาพอิดโรยซีดเซียว แต่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นอะไรมาก เขาแอบโล่งอกแล้วดันแว่นตาที่กดสันจมูกจนทำให้เขาอึดอัด “ก็เพราะผมห่วงพ่อ…”
เขาหันไปทางเยี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านข้าง
“ยังมีคุณอาด้วย ถึงจะเรียนหนัก แต่ผมคิดถึงคนที่บ้านจนทนไม่ไหวเลยเปลี่ยนใจนั่งเรือกลับมาครับ พอได้ยินว่าพ่อมาหาคุณอาก็รีบตามมาทันที ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพ่อ ผมเป็นห่วงมากๆ เมื่อครู่ถึงพรวดพราดเข้ามาอย่างนั้นทำให้พ่อกับคุณอาตกอกตกใจ ผมผิดเองครับ”
หลานชายเป็นคนหัวไวตั้งแต่เด็ก แต่ก็ซุกซนคึกคะนองไม่เชื่อฟัง เมื่อก่อนเขาไม่ยอมเป็นหมอ แต่โดนพ่อของเขาเกลี้ยกล่อมจนอยู่หมัด หลังได้ออกไปผจญโลกภายนอกแล้วก็กลายเป็นคนสุภาพและเข้าใจเหตุผลขนาดนี้ อย่าว่าแต่พ่อของเขาเลย แม้แต่เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ทั้งปลาบปลื้มทั้งอิ่มอกอิ่มใจ
แม้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายในบ้านติดต่อกันไม่หยุดหย่อน แต่เห็นหลานชายโผล่มาอย่างเหนือความคาดหมาย อารมณ์หดหู่กดดันในทีแรกของเยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ผ่อนคลายลงมาก เธอแย้มยิ้มพลางเข้าไปจับแขนเขาอย่างเป็นกันเอง “กลับมาก็ดีแล้วๆ ยังไม่กินข้าวสินะ อยากกินอะไร อาจะไปทำให้เอง”
“ไม่ต้องๆ ขอบคุณครับคุณอา ผมกินมาแล้ว”
เยี่ยเสียนฉีปฏิเสธแล้วซักถามพ่อของเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
รอยยิ้มบนหน้าเยี่ยหรู่ชวนเลือนหายไป เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็นิ่งเงียบ สุดท้ายหงเหลียนที่ตามเข้ามาจึงเป็นคนเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
หงเหลียนยังเล่าไม่จบ ชายหนุ่มก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว
“ทำกันเกินไปแล้ว ผมจะไปหามันเดี๋ยวนี้เลย พวกระยำทำอะไรกับพ่อผมไว้ ผมก็จะให้มันลิ้มรสชาติแบบเดียวกัน”
เขาถอดแว่นตากรอบทองที่พาดอยู่บนสันจมูกออกปาลงพื้นสุดแรง แล้วเดินไปเปิดหีบเดินทาง หยิบเสื้อผ้าในนั้นออกมาสะบัดหลายทีจนปืนกระบอกหนึ่งหล่นออกมา เขาเก็บขึ้นมาซุกในกระเป๋ากางเกงแล้วออกจากห้องไป
เยี่ยอวิ๋นจิ่นตกใจยกใหญ่ “ขวางเขาไว้”
หงเหลียนมือไวตาไว เข้ากอดเยี่ยเสียนฉีที่เดินผ่านข้างตัวเธอไปไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ชายหนุ่มเป็นคนผอม พอถูกหงเหลียนกอดไว้สุดแรง จะดิ้นรนอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
“โอ๊ย น้าหง ผมหายใจไม่ออก…” เขาทำตาเหลือก
หงเหลียนรีบปล่อยมือ
เขาหยุดพักหายใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาออกเดินอีกครั้ง แต่เยี่ยหรู่ชวนตวาดห้าม “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ฝ่ายนั้นเป็นพวกไหน แกทำอะไรเขาได้หรือ แกนึกว่าแกเป็นใคร”
เยี่ยเสียนฉีชะงักเท้าอยู่หน้าประตู ก่อนหมุนตัวหันกลับมาอย่างช้าๆ พลางกัดฟันกรอด “หรือเราต้องกล้ำกลืนความแค้นไว้แบบนี้ครับ”
“เรื่องที่ฉันส่งโทรเลขไปหาแกครั้งก่อน ยังจำได้ไหม เมื่อครู่ฉันกำลังปรึกษากับอาของแกอยู่ อยากให้แกกลับมาแล้วไปที่นั่น ประจวบเหมาะพอดี แกกลับมาเองแล้ว…”
“ไม่ ผมไม่ไปเรียนที่นั่น!”
ชายหนุ่มที่ยังทำท่าดุดันเมื่อครู่นี้หน้าเปลี่ยนสีไปทันใด เขาไม่รอให้พ่อพูดจบก็เต้นผางๆ โบกสองมือไปมาเป็นพัลวัน
“ผมเคยบอกไปแล้ว ผมอยู่ที่นู่นผลการเรียนดีเลิศ แล้วมันเรื่องอะไรกันถึงจะให้เลิกกลางคันเปลี่ยนไปเรียนแพทย์แบบไร้มาตรฐานพรรค์นี้ พ่อไม่อยากให้ผมได้ปริญญาที่นู่นเหรอครับ แล้วก็…ใช่ๆ เยล! เยล!”
เสียงพูดคำภาษาอังกฤษหลุดออกมาจากปากเขาสองคำ
“รู้จักเยล กันไหมครับ อาจารย์รับปากว่าจะแนะนำผมไปทำงานวิจัยต่อที่นั่น อีกหน่อยผมจะเป็นนักวิชาการใหญ่ ไม่คิดจะรับราชการ ยังมีเสวี่ยจื้ออีกคนไม่ใช่เหรอ ก็ให้เธอไปสิครับ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นฟังภาษาอังกฤษที่หลานชายพูดไม่เข้าใจ เธอไม่รู้ว่าเยลคืออะไร
กระนั้นเรื่องของลูกสาวเมื่อสามวันก่อนนั้นรู้กันไปทั่วแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก