เยี่ยอวิ๋นจิ่นถอนใจเฮือกหนึ่ง “เกิดเรื่องกับเธอนิดหน่อย”
เยี่ยเสียนฉีฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบ
“พ่อกับคุณอายังไม่ถามดูเลย รู้ได้อย่างไรว่าเธอจะไม่ไปแน่ๆ ผมกับเธอสนิทกันตั้งแต่เล็กๆ เธอยอมฟังผมแน่ ผมจะไปถามเอง…”
เขาก้าวขาจะเดินออกจากห้อง จังหวะนี้เองเสียงหนึ่งได้ดังมาจากข้างนอก “หนูไปค่ะ”
คนที่อยู่ในห้องอึ้งงันกันหมด
สิ้นเสียงนี้ประตูก็เปิดออก เห็นซูเสวี่ยจื้อยืนอยู่นอกห้อง ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ
เธอสวมเสื้อคลุมผ้าเนื้อละเอียดตัวยาวสีเขียวไม้ไผ่ กลัดกระดุมถักเชือกบนปกเสื้อคอตั้งอย่างเรียบร้อย แลดูหมดจดสบายตาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
หญิงสาวพยักหน้าให้เยี่ยเสียนฉีพร้อมเอ่ยทักทาย จากนั้นก้าวเข้าห้องเดินไปหาเยี่ยอวิ๋นจิ่นบอกว่า “แม่ หนูมาเยี่ยมคุณลุง แล้วก็…”
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่หลายคืน ก่อนนอนซูชิงชิงคิดอยู่เสมอว่าตนเองอาจจะไม่ตื่นขึ้นอีกแล้ว
เธอเติบโตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ภายหลังกลายเป็นแพทย์นิติเวช แต่เพิ่งทำงานได้ไม่นานก็พบว่าตนเองป่วยเป็นโรคหายากชนิดหนึ่ง ต่อให้เป็นการแพทย์ในยุคปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีรักษา เธอจึงลาลับจากโลกทั้งที่ยังอยู่วัยสาวสะพรั่งอันงดงาม
คงเพราะคลุกคลีกับความตายจนเคยชิน เธอถึงไม่รู้สึกหวาดกลัวความตาย แต่หวนนึกถึงชีวิตแสนสั้นของตนเอง ไม่ว่าตอนเกิดมาหรือตายไปล้วนไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ในโลกนี้แม้สักกระผีกดังเช่นหยดน้ำหยดหนึ่ง บอกตามตรง เธอเสียดายอยู่นิดหน่อย
ด้วยเหตุนี้แม้จะรู้สึกผิดต่อลูกสาวของสกุลซูเจ้าของร่างเดิมคนนั้น แต่เธอก็หวงแหนชีวิตใหม่ที่ตนเองได้รับอีกครั้งอย่างยิ่ง
จะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่สำคัญ ต่อให้ต้องดำเนินชีวิตในสถานะอีหลักอีเหลื่อซึ่งคนที่รู้เบื้องหลังยังรู้สึกจนใจเหลือเกินนี้ตลอดไปก็ไม่เป็นไร
ยามนี้ ‘ครอบครัว’ กำลังพบปัญหายุ่งยากและต้องการเธอ อีกทั้งสำหรับเธอแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
หลังจากสังเกตดูคนครอบครัวนี้มาสามวัน ซูชิงชิงช้อนตาขึ้นสบตา ‘แม่’ ของตนเองตรงๆ เป็นครั้งแรกก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า “หนูคิดตกแล้ว แต่ก่อนเป็นอย่างไร วันหลังก็ให้เป็นอย่างนั้นเหมือนเดิมค่ะ”
ต่อแต่นี้เป็นต้นไป เธอคือซูเสวี่ยจื้อ ซูเสวี่ยจื้อคือเธอ
ชื่อเดิมคืออดีตของเธอ ความเป็นมาของเธอ ตัวเธอเองรู้ก็พอแล้ว
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ลูกสาวก็เปลี่ยนความคิด ถึงกับเป็นฝ่ายบอกเองว่าจะไปเข้าเรียนไขว่คว้าโอกาสไว้
ลู่ทางสายนี้ของพี่ชายล่อใจเธอมากจริงๆ แต่จะอย่างไรมันก็ไม่เหมือนตอนลูกสาวไปเรียนหนังสือที่เมืองเฉิงตู ถึงแม้ก่อนหน้านี้คนรอบตัวลูกสาวจะเป็นผู้ชายหมด แต่ตอนนี้ต้องเดินทางไปที่ไกล และยังไม่มีครอบครัวดูแลอยู่ใกล้ๆ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่วางใจที่จะปล่อยให้ลูกสาวไปตามลำพังจริงๆ
ต่อให้พี่ชายรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามีเพื่อนเก่าของเขาอยู่ที่นั่น คอยช่วยจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงที่พักไว้ให้พร้อมสรรพ พอไปถึงแล้วไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่ ทว่าเธอยังสับสนวุ่นวายใจอยู่ดี ยิ่งหลังจากลูกสาวบอกความคิดออกมาแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าตนเองควรดีใจหรือกลุ้มใจ
บ้านสกุลซูกลับมาสงบสุขดังเดิมอีกครั้ง เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว…ถึงขั้นหากไม่ไปคิดถึงเรื่องโชคร้ายของนายท่านเยี่ย บรรยากาศในบ้านยังชื่นมื่นกลมเกลียวขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ขณะที่คนภายนอกยังชะเง้อคอรอชมศึกระหว่างนายห้างหญิงของห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อกับนายน้อยสกุลซูต่อ คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาจะมีข่าวใหม่แพร่ออกมาว่าวันนั้นนายน้อยสกุลซูเผลอดื่มเหล้าแรงจนเมาหนักถึงได้ทำเรื่องขายหน้าผู้คนขึ้น ความจริงสองแม่ลูกคู่นี้รักใคร่ผูกพันกันลึกซึ้งอย่าบอกใครเชียว
คนที่เตรียมรอหัวเราะเยาะย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา และเห็นพ้องว่าเยี่ยอวิ๋นจิ่นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อรักษาหน้าชัดๆ ผ่านไปสองวันพอเห็นนายน้อยสกุลซูผู้หน้าตาคมคายหมดจดไปดูละครที่สวนหนานหยวนในตัวอำเภอ ช่วยแกะเปลือกเมล็ดแตงรินน้ำชาให้แม่ของตนอย่างสุภาพมีมารยาท ทุกคนถึงถอดใจในที่สุด
“วันที่นายน้อยสกุลซูตกน้ำวันนั้น ถ้าบอกว่าไม่ได้มีปากเสียงกันจนเกิดเรื่องขึ้นล่ะก็ ตีให้ตายฉันก็ไม่เชื่อหรอก นายห้างหญิงนั่นร้ายกาจจะตายไป เมื่อก่อนชอบทำตัวเก่งกว่าผู้ชาย ดวงแรงจนข่มสามีตาย ตอนนี้ยังกำราบลูกชายให้อยู่ในโอวาทได้อีก ทะเลาะกันขนาดนั้นแล้วนายน้อยซูยังต้องก้มหัวให้อยู่ดี”
พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเปลี่ยนมาคุยซุบซิบกันเรื่องนี้แทน
“อนิจจา แม่ไก่ริขันตอนเช้า ความถูกต้องชอบธรรมอยู่ที่ใดหนอ!”
ลุงสามสกุลซูอดีตบัณฑิตซิ่วไฉ ที่อยู่ห่างไปถนนหนึ่งดูดยาสูบคำหนึ่ง จากนั้นลืมดวงตาที่ฝ้าฟางขึ้นมองไปทางบ้านสกุลซูพร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆ ประโยคหนึ่ง
กระนั้นไม่สำคัญว่าข้างนอกจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร สกุลซูกำลังเตรียมการเรื่องต่างๆ ตามที่ตกลงกันไว้ไปทีละขั้นๆ