ผ่านไปสิบกว่าวัน คืนนี้สกุลซูจัดงานเลี้ยงภายในครอบครัว
พอกินอาหารมื้อนี้เสร็จ วันรุ่งขึ้นซูเสวี่ยจื้อนายน้อยสกุลซูจะออกเดินทางไปยังเมืองเทียนแล้ว
ตอนนี้เป็นกลางเดือนเจ็ด วันเปิดเรียนคือกลางเดือนเก้า ดูเผินๆ เหมือนจะยังมีเวลา แต่ความจริงแล้วเวลากระชั้นชิดมาก
ถ้าการเดินทางราบรื่น จากเมืองซวี่ซึ่งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้จะไปถึงเมืองเทียนทางทิศเหนือได้ภายในหนึ่งเดือน
เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว หากอยากจะไปเยี่ยมคารวะทำความคุ้นเคยญาติสกุลเฮ่อก็ต้องรอ เพราะสกุลซูกับสกุลเยี่ยเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่คนอื่นมาขอร้อง จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรอคอยอยู่ พอไปถึงก็ได้พบทันที
หลังจากไปพบหน้าทักทายคุณน้าผู้เป็นญาติห่างๆ เรียบร้อย อันดับต่อไปก็คือจะปักหลักอยู่ที่นั่นอย่างไร ในบรรดาคนรอบข้างมีคนไหนบ้างที่จำเป็นต้องสร้างความสนิทสนมไว้ก่อน เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาทั้งนั้น
ฉะนั้นจำเป็นต้องออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้
การเดินทางไกลรอบนี้ของหลานสาวสำคัญอย่างยิ่ง ทีแรกเยี่ยหรู่ชวนจะไปส่งด้วยตนเองและช่วยดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างให้ แต่เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ตอนนี้กระทั่งจะลุกลงจากเตียงก็ยังไม่คล่อง ไม่ต้องหวังว่าจะได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้
เยี่ยอวิ๋นจิ่นจึงบอกว่าจะไปส่งลูกสาวเอง แต่ก็ถูกปฏิเสธทันที
แม้ว่าลูกสาวจะมีท่าทางเรียบร้อยอ่อนโยน ต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่ก้าวร้าวเกรี้ยวกราดอยากขีดเส้นกั้นไว้ไม่ให้เธอก้าวก่ายชีวิตตนเองราวกับเป็นคนละคนกัน แต่นี่ไม่ได้ทำให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกชื่นใจสักนิด
เธอดูออกว่าลูกสาวไม่อยากให้เธอไปด้วยจริงๆ
แล้วสาเหตุที่ลูกสาวปฏิเสธไม่อยากให้เธอไป ไม่ใช่เพราะกลัวเธอจะเหน็ดเหนื่อยจากการตรากตรำเดินทางด้วยเรือ ลูกสาวแค่ไม่อยากให้เธอร่วมทางไปด้วยเท่านั้นเอง
ตอนนั้นเธอนิ่งเงียบไป หลังจากหันไปปรึกษากับพี่ชายก็ตัดสินใจมอบหมายให้ซูจงพาคนงานตัวโตบึกบึนสองสามคนตามไปส่งลูกสาวถึงที่นั่น
ซูจงรู้ฐานะที่แท้จริงของลูกสาวเธอและทำงานรอบคอบ มีประสบการณ์ หลังไปถึงที่นั่นก็ยังมีเพื่อนเก่าของเยี่ยหรู่ชวนช่วยแนะนำชี้ทางอีก จึงวางใจได้ อีกอย่างเยี่ยเสียนฉีก็ขันอาสาจะร่วมเดินทางไปด้วย บอกว่าจะตามไปคุ้มครองน้องสาว รอจนน้องสาวถึงที่หมาย เขาค่อยนั่งเรือกลับตงหยางไปเรียนหนังสือต่อ
ลูกชายมีลักษณะเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ ทำให้เยี่ยหรู่ชวนอิ่มเอมใจยิ่งนัก เขาตอบตกลงอย่างเบิกบานใจ
ในงานเลี้ยงของครอบครัวตอนค่ำ เยี่ยอวิ๋นจิ่นให้หงเหลียนร่วมโต๊ะด้วย ทีแรกเธอบอกปัดตลอด แต่เยี่ยเสียนฉีรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่กึ่งลากกึ่งอุ้มหงเหลียนจนมาถึงโต๊ะ เธอถึงคลายยิ้มยอมหย่อนตัวลงนั่งหมิ่นๆ บนเก้าอี้
ป้าอู๋เป็นคนควบคุมงานเสี่ยวชุ่ยกับสาวใช้หลายคนคอยรับใช้ในงานเลี้ยง อาหารชั้นเลิศพร้อมพรั่งถูกยกขึ้นโต๊ะไม่ขาดสาย ระหว่างกินอาหารเยี่ยอวิ๋นจิ่นกับซูเสวี่ยจื้อไม่ค่อยพูดจากัน แต่มีเยี่ยเสียนฉีกับหงเหลียนอยู่ด้วยจึงไม่ต้องห่วงว่าจะเสียบรรยากาศ ด้านเยี่ยหรู่ชวนอาจจะยังไม่หายสนิทเลยดื่มเหล้าไม่ได้ แต่คืนนี้บนโต๊ะอาหารเขาดูคึกคักกระปรี้กระเปร่า ช่างพูดช่างคุยพอสมควร
เยี่ยเสียนฉีซักถามผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับหลานชายของสกุลเฮ่อ
เยี่ยหรู่ชวนตอบ “เขามีชื่อจริงว่าฮั่นจู่ ชื่อรองว่าเยียนเฉียว ส่วนอายุ…”
เขาคิดคำนวณในใจ
“ตอนเกิดเรื่องขึ้นกับสกุลเฮ่อเป็นปีเหรินอิ๋น พ่อจำได้ว่าปีนั้นเขาเพิ่งย่างสิบสองขวบ ตอนนี้วนกลับมาปีอิ๋นหรือก็คือปีนักษัตรขาลอีกครั้ง เท่ากับสิบสองปี ครบหนึ่งรอบพอดี เป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังอายุน้อยของจริง”
เยี่ยเสียนฉีแปลกใจ “นี่ถ้าไปเจอหน้ากันที่เมืองเทียน จะให้ผมเรียกเขาว่าน้าได้อย่างไรล่ะครับ” เพราะว่าตัวของเยี่ยเสียนฉีนั้นอายุยี่สิบปีแล้ว
เยี่ยหรู่ชวนไม่สบอารมณ์ทันที “ลำดับอาวุโสเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดว่าเขาอายุมากกว่าแก ต่อให้อายุน้อยกว่า แกควรเรียกว่าอะไรก็เรียกไปซะ!”
เยี่ยเสียนฉียักไหล่แล้วยื่นตะเกียบไปยังจานเนื้อสันในผัดพริกตรงหน้า คีบมาชิ้นหนึ่ง “ครับๆ ผมรู้แล้ว”
เยี่ยหรู่ชวนไม่พอใจน้ำเสียงไม่อนาทรร้อนใจของลูกชายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาเป็นโล้เป็นพายแล้ว ตนเองจะเอะอะเทศนาสั่งสอนอย่างเมื่อก่อนก็ไม่เป็นการดี จึงเน้นเสียงหนักขึ้น “ลำดับอาวุโสจะสูงต่ำอย่างไรก็ช่าง สมัยก่อนในเมืองเฉิงตูสกุลเฮ่อเป็นตระกูลขุนนางทุกชั่วรุ่นอย่างแท้จริง ชื่อเสียงพวกเขาโด่งดังเป็นที่นับหน้าถือตา นายท่านใหญ่เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง ในครั้งนั้นขอเพียงท่านทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง สกุลเฮ่อก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นแล้ว”
ด้านเยี่ยเสียนฉีไม่ชอบฟังพ่อเล่าเรื่องเก่าแก่ปีมะโว้พวกนี้อย่างเห็นได้ชัด เขาทำเสียงตอบเอออออย่างขอไปที แต่จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงโน้มตัวไปหาพ่อด้วยสีหน้าสนอกสนใจ “พ่อ ไหนเคยบอกว่าแต่ก่อนสกุลเฮ่อติดต่อกับพวกกบฏผมยาว ตอนหลังยังได้สมบัติมาด้วยถึงได้โดนยึดทรัพย์ไม่ใช่เหรอ ได้ยินว่าตอนนั้นขุดพื้นลึกลงไปตั้งสามเชียะ แม้แต่ห้องน้ำยังโดนขุดจนไปถึงก้นถังส้วม แล้วสกุลเฮ่อมีสมบัติซ่อนอยู่จริงๆ หรือเปล่าครับ”