บทที่ 4
ฟ้าสว่างแล้ว
รถม้าหลายคันจอดอยู่หน้าบ้านสกุลซู คนรับใช้เดินยกหีบสัมภาระเดินสวนกันไปมา
หงเหลียนจับมือซูเสวี่ยจื้อพูดกำชับไม่หยุดอย่างอาลัยอาวรณ์ ทำท่าเหมือนน้ำตาจะไหลนองหน้าแล้วทว่าจู่ๆ ก็ยิ้มทั้งน้ำตา “โอ๊ย น้าทำอะไรของน้ากันนี่ คุณหนูจากบ้านไปหนนี้เป็นเรื่องดี คราวหน้ากลับมาอย่าลืมเอาของกินมาฝากน้าด้วยนะ น้าหงชอบของอร่อยๆ”
อีกด้านหนึ่ง สองพ่อลูกสกุลเยี่ยก็กำลังคุยกันอยู่ในห้องเหมือนกัน
คนพ่อวางท่าปั้นหน้าขรึมบอกให้ลูกชายตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีๆ ต่อไป “พ่อตั้งชื่อให้แกว่าเสียนฉี…”
“รู้แล้วครับๆ หมายถึงเห็นคนดีมีความสามารถพึงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ผมท่องอยู่ในใจทุกวันเลย”
เยี่ยหรู่ชวนถูกแย่งพูดก็ชะงักไปนิดหนึ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะจะให้แกได้เรียนจนจบ เสวี่ยจื้อคงไม่ถึงขั้นต้องยอมตกลงออกเดินทางไกล คุณอาของแกกับเสวี่ยจื้ออยากจะส่งเสริมแกนะ เป็นคนต้องมีมโนธรรม แกจะทำให้พวกเขาผิดหวังไม่ได้”
เยี่ยเสียนฉีพยักหน้าถี่ๆ แล้วแบมือออก
เยี่ยหรู่ชวนถลึงตา “จะเอาเงินอีกแล้ว? ครั้งก่อนตอนส่งโทรเลขมาก็ขอไปก้อนหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ”
เยี่ยเสียนฉียิ้มประจบ “ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าตอนอยู่ตงหยาง ผมก็ถังแตกแล้ว ที่นั่นมีเรื่องให้ใช้เงินยุบยับ ผมประหยัดมากแล้วนะครับ ผมตามไปส่งน้องถึงทางเหนือเที่ยวนี้อย่างน้อยก็ต้องมีเดือนสองเดือน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าผ่านด่าน ผมเป็นพี่ชาย จะให้น้องสาวควักกระเป๋าคงไม่ได้มั้งครับ”
เยี่ยหรู่ชวนคิดๆ แล้วก็เห็นด้วยกับลูกชาย
แม้ว่าเขากับสกุลซูจะไม่ใช่คนอื่นคนไกล ซูจงที่ร่วมเดินทางไปด้วยก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ ทว่าฝ่ายเขาจะบกพร่องไม่ได้
ตอนขามาเยี่ยหรู่ชวนนำตั๋วแลกเงินติดตัวไว้หลายใบพอดี เขาจึงหยิบออกมายื่นส่งให้
เยี่ยเสียนฉีรับไว้พร้อมกับพูดขอบคุณซ้ำๆ
ตอนเด็กลูกชายซุกซนเหมือนลิง เยี่ยหรู่ชวนกลัวเขาจะปากไม่มีหูรูด ย่อมไม่บอกเรื่องที่ซูเสวี่ยจื้อเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าหลานสาวกับลูกชายจะสนิทกัน พอถึงอายุสิบกว่าขวบเธอก็บอกให้เขารู้เอง ตอนนั้นเขาร้องโวยวายตกใจ หลังจากเยี่ยหรู่ชวนรู้เข้าก็พูดเตือนว่าเรื่องนี้สำคัญมาก จะเอาไปบอกคนนอกส่งเดชไม่ได้เด็ดขาด ดีที่ลูกชายเข้าใจถึงผลดีผลเสียของเรื่องนี้เลยไม่เคยพลั้งปากมาโดยตลอด
คราวนี้หลานสาวต้องออกเดินทางไกล จะอย่างไรก็ไม่ค่อยเหมือนกับที่แล้วๆ มา ในเมื่อลูกชายของตนเดินทางไปด้วย เยี่ยหรู่ชวนจึงไม่ลืมเรื่องนี้เป็นธรรมดา เขาสั่งกำชับเยี่ยเสียนฉีให้จำขึ้นใจว่าไม่ว่าเป็นใครก็แพร่งพรายเรื่องนี้ให้รู้ไม่ได้ และระมัดระวังปากเอาไว้ เพราะหากพูดมากก็ต้องพลาดเข้าสักวัน
ลูกชายรับคำอย่างดิบดี “พ่อวางใจได้ ผมเข้าใจดี หลายปีมานี้พ่อเคยเห็นผมบอกใครบ้างไหมล่ะ”
เยี่ยหรู่ชวนคิดๆ แล้วก็ใช่อีก
ขณะสองพ่อลูกคุยกัน เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็พาซูเสวี่ยจื้อมากล่าวอำลาคุณลุงที่เดินเหินไม่สะดวก
เยี่ยหรู่ชวนย่อมต้องพูดกำชับหลานสาวอีกยกหนึ่งอยู่แล้ว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยในที่สุด เยี่ยอวิ๋นจิ่นก็ออกไปส่งลูกสาว
“แม่คะ ส่งถึงตรงนี้ก็พอค่ะ”
หลังจากผ่านมาหลายวัน ซูเสวี่ยจื้อเรียกคำว่า ‘แม่’ ได้คล่องปากขึ้นแล้ว
เยี่ยอวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองซูจง
เขาค้อมกายทันที “วางใจได้ มอบให้เป็นหน้าที่ผมเองครับ”
เธอพยักหน้าเล็กๆ
ซูเสวี่ยจื้อก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่หน้าบ้าน พอรถม้าเคลื่อนตัวออกก็เห็นแม่เธอพาพวกหงเหลียนกับป้าอู๋ออกมายืนส่งที่บันไดนอกประตู หงเหลียนก้มหน้าเช็ดน้ำตา มือยังโบกผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาทางเธอไม่หยุด ส่วนเยี่ยอวิ๋นจิ่นดูเหมือนคิดจะยกแขนข้างหนึ่ง แต่พอขยับแขนขึ้นก็ปล่อยกลับลงตามเดิมช้าๆ
เธออักอ่วนอยู่สักหน่อยเลยแกล้งทำเป็นไม่เห็น พอดีกับที่เยี่ยเสียนฉีซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันชะโงกตัวออกไปในจังหวะนี้แล้วตะโกนพูดกับเยี่ยอวิ๋นจิ่น “คุณอาวางใจได้ มีผมอยู่ทั้งคน” ว่าแล้วก็ปิดประตูรถม้าดังปึง กั้นขวางทุกสิ่งไว้ข้างนอก
ซูเสวี่ยจื้อลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกทันใด