แค่เนื้อหาในหนังสือเรียนระดับต้นของเจ้าของร่างเดิมก็ครอบคลุมความรู้ทั้งวิชากายวิภาควิทยา วิชามิญชวิทยา วิชาสรีรวิทยา วิชาแบคทีเรียวิทยา วิชาพยาธิวิทยา วิชาเคมีคลินิกวิทยา วิชาเภสัชวิทยา และอื่นๆ
แม้ว่าสำหรับเธอเนื้อหาพวกนั้นจะเป็นความรู้พื้นฐานที่ค่อนข้างผิวเผิน แต่ก็ยังคงละเอียดซับซ้อนและจำเจน่าเบื่อ ยิ่งถ้าเป็นระดับสูงขึ้นไป หากไม่ทุ่มเทกายใจและเวลาอย่างเต็มที่ ก็ไม่มีทางจะเรียนได้ดี
แต่สำหรับเยี่ยเสียนฉีแล้ว ไม่ว่ามองจากมุมไหนเขาก็ไม่เหมือนคนทุ่มเทให้การเรียนมากๆ
แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเหมือนกัน นั่นก็คือพวกอัจฉริยะ
บางทีญาติผู้พี่ของเธออาจจะเป็นพวกอัจฉริยะคนหนึ่ง
ถึงจับจดก็จับจดนิดเดียว ไม่มีผลกับความถนัดของเขา
ฉะนั้นเรื่องดีๆ อย่างการได้ย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นบน แม้เธอจะรู้สึกว่าญาติผู้พี่น่าสงสัย แต่ก็ไม่เหมือนการโกหก และเธอไม่มีเหตุผลใดจะคัดค้านจึงตามเขาไปด้วยเหตุฉะนี้ กระนั้นก่อนขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุด เธอกลับเห็นคนหัวโล้นหน้าตาชวนให้ไม่กล้าเข้าใกล้คนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับลูกน้องหลายคน พอเห็นมีคนมาก็บอกว่าจะค้นตัวแล้วมองหีบสัมภาระแวบหนึ่ง
อย่าว่าแต่ค้นตัวเลย แค่หีบสัมภาระของเธอก็เปิดให้ดูไม่ได้ ในนั้นมีของใช้ส่วนตัวที่หงเหลียนจัดเตรียมให้เธอมากมายก่ายกอง รวมถึงผ้าซับเลือดระดูซึ่งเป็นสิ่งของที่น่าสงสัยมากที่สุดในการเป็น ‘ผู้ชาย’ ของเธอ
“พี่เป้า น้องผมเป็นคนแปลกๆ สักหน่อย ไม่ชอบให้คนแตะเนื้อต้องตัวตั้งแต่เล็ก ผมตรวจดูให้หมดแล้ว พวกคุณวางใจได้ อีกอย่างดูตัวเขาก็รู้ว่าไม่มีแรงจับลูกเจี๊ยบด้วยซ้ำ แล้วจะเป็นคนร้ายได้อย่างไรกัน” เยี่ยเสียนฉีรีบเอาตัวบังอยู่ข้างหน้าเธอพลางพูดอธิบาย
‘พี่เป้า’ คนนั้นทำหน้าตายเหมือนเดิม “ขออภัยด้วยคุณชายเยี่ย ค้นตัวแล้วถึงขึ้นไปได้”
ซูเสวี่ยจื้อพูดขึ้น “พี่เสียนฉี พี่ไปอยู่ชั้นบนเถอะ ผมไปอยู่ห้องที่ลุงจงแลกให้ห้องนั้นก็ได้”
เยี่ยเสียนฉีตวัดตามองไปข้างบนอย่างละล้าละลังนิดหนึ่งก่อนหันหน้ามา ทว่าญาติผู้น้องก็หิ้วหีบใบหนึ่งขึ้นและเดินลงไปพร้อมกับซูจงที่ช่วยขนของตามมาส่งพวกเขาแล้ว
เขาอยากพักชั้นบนจับใจ แต่พอนึกถึงว่าจะปล่อยให้ญาติผู้น้องพักอยู่ในที่ที่มีคนร้อยพ่อพันแม่อย่างชั้นกลางลำพังคนเดียว ตอนกลางคืนจะให้ซูจงจัดคนไปเฝ้าห้องเธอก็ไม่ได้ คำโบราณว่าไว้ไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวแต่เศษหนึ่งส่วนหมื่น ในที่สุดเขาก็กระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง “ช่างเถอะ งั้นฉันก็ไม่อยู่เหมือนกัน” ว่าแล้วก็หมุนตัวจะเดินตามไป แต่กลับได้ยินเสียงของคุณชายหวังเมื่อครู่นี้ดังขึ้นอีก
“รอเดี๋ยว”
ซูเสวี่ยจื้อนึกว่าเขาพูดกับเยี่ยเสียนฉีเลยไม่ได้หันหน้าไป
“คนนั้นใครน่ะ บอกให้รอเดี๋ยว ไม่ได้ยินเหรอ”
เธอเหลียวไปมอง
“ใช่! คุณนั่นล่ะ…”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินสองมือล้วงกระเป๋าอย่างเอ้อระเหยลงมาจากข้างบน ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา ดูท่าทางจะรุ่นราวคราวเดียวกับเยี่ยเสียนฉี เขาหยุดยืนอยู่กลางบันไดมองสำรวจเธอครู่หนึ่ง จากนั้นหันศีรษะไปพูดกับคนหน้าตาดุร้ายด้านข้างว่า “ท่าทางอย่างกับผู้หญิง เอานิ้วจิ้มทีเดียวก็ล้มลงแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับผมได้ พี่สี่คิดมากเกินไป ระมัดระวังเกินกว่าเหตุแล้ว” เขาพูดเป็นเชิงบ่น
เยี่ยเสียนฉีตาเป็นประกาย พูดผสมโรงว่า “นั่นสิ! น้องผมสุภาพเรียบร้อย แถมยังสุขภาพไม่ดี ตากลมไม่ได้ วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง คุณเรียกเขาออกมา เขายังไม่ออกเลย”
ซูเสวี่ยจื้อมองเขาตาเขม็ง
เยี่ยเสียนฉีขยิบตาให้เธออย่างว่องไว
“ก็เอาตามนี้ล่ะ ขึ้นมาสิ!”
คุณชายหวังดูจะพอใจอยู่มาก เขาเอียงคอพยักพเยิดบอกให้ทั้งสองขึ้นมาก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไป ส้นรองเท้าหนังย่ำขั้นบันไดเหล็กส่งเสียงดังกึงๆ ก้องกังวาน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.