บทที่ 6
ยังไม่ทันขึ้นไปก็เจอเรื่องแบบนี้เสียแล้ว
ต่อให้ข้างบนเป็นพระราชวังต้องห้าม ซูเสวี่ยจื้อก็ไม่สนใจแล้ว อีกอย่างเธอสังหรณ์ใจว่าคุณชายหวังกับเยี่ยเสียนฉีดูเหมือนจะไม่ได้เป็นคนรู้จักกันมาก่อนอย่างที่บอก แต่ถึงที่สุดแล้วเธอก็ไม่ใช่พวกเอาแต่ใจตัวเองมากขนาดนั้น พอเห็นท่าทางตั้งตารอคอยอย่างตื่นเต้นคึกคักของญาติผู้พี่ก็ไม่อยากให้เขาเสียอารมณ์ เธอจึงย้ายตามไปโดยไม่ปริปากว่าอะไร
สภาพห้องพักชั้นบนดีกว่าชั้นล่างไม่น้อย หลังจัดของเสร็จซูจงก็ลงไป สองลูกพี่ลูกน้องได้อยู่คนละห้อง เรื่องที่พักถึงลงตัวเรียบร้อยไปด้วยประการฉะนี้
ไม่ถึงสองวัน ซูเสวี่ยจื้อก็รู้ข้อมูลคร่าวๆ ของกลุ่มคนที่เหมาห้องพักชั้นนี้ไว้จากปากของเยี่ยเสียนฉี
บนชั้นนี้หากไม่นับพวกเธอสองคน น่าจะมีคนพักอยู่ทั้งหมดหกคน
มีคุณชายหวัง ป้าหวังคนใช้ ผู้คุ้มกันสองคนของคุณชายหวัง รวมถึงคนที่ชื่อเป้าจื่อ
นอกจากนี้ยังมีอีกคนหนึ่ง แต่เธอยังไม่ได้พบหน้าเขา
คนผู้นั้นคล้ายไม่ชอบออกมาข้างนอก เขาเก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวันแบบเดียวกับเธอ คุณชายหวังดูท่าทางจะเคารพเขามากและเรียกเขาว่า ‘พี่สี่’ จึงน่าจะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดมากกว่าคนอื่นๆ ที่เอ่ยถึงเขาด้วยคำเรียกขานว่า ‘ท่านสี่’
ส่วนเป้าจื่อคนนั้นคงเป็นคนของท่านสี่อะไรนั่น
จุดหมายปลายทางของคนกลุ่มนี้คือเมืองหลวง
เมืองเทียนอยู่ห่างจากเมืองหลวงแค่ไม่กี่ร้อยหลี่ นั่งรถไฟใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น พอจะนับว่าเป็นเพื่อนร่วมทางกับพวกเธอได้อย่างถูๆ ไถๆ
สำหรับคุณชายหวัง มีชื่อจริงว่าถิงจือ น่าจะมีเทือกเถาเหล่ากอดีพอสมควร ก่อนหน้านี้เหมือนเขามาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่ชนบทสักแห่งแถบนี้และพักอยู่ชั่วคราวช่วงหนึ่งก่อนเดินทางกลับ เขาเป็นคนรักสนุก นอกจากเล่นไพ่แล้ว ยังชอบร้องอุปรากรเป็นงานอดิเรก เชี่ยวชาญทั้งบทร้อง บทพูด และบทบู๊ เวลาโมโหขึ้นมาจะใจร้อนนิดหน่อย แต่เวลาส่วนใหญ่เป็นคนอัธยาศัยดี
ตัวซูเสวี่ยจื้อเองก็ประจักษ์ได้อย่างรวดเร็วว่าชั้นนี้ว่างโล่งจริงๆ
พื้นที่ของดาดฟ้าเรือนี้เดิมก็กว้างขวางกว่าชั้นล่างมากอยู่แล้ว ทางฝั่งท้ายเรือยังมีมุมพักผ่อนอีกจุดหนึ่ง วางเก้าอี้อาบแดดแบบมีที่บังแดดไว้หลายตัว ถึงเป็นตอนกลางวันก็ว่างโหรงเหรงแทบไม่เห็นวี่แววผู้คน
แต่ถึงจะดีสักแค่ไหนก็ไม่ใช่ที่ของตนเอง อย่างว่าปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี ต่อให้อยู่ว่างๆ เธอก็ไม่อยากออกไปเดินเตร็ดเตร่นอกห้อง
ในเมื่อเยี่ยเสียนฉีบอกคุณชายหวังว่าเธอสุขภาพไม่ดี หลังจากขึ้นมาแล้วซูเสวี่ยจื้อก็สวมบทบาทตามที่เขาวางไว้ ทุกวันเธอแทบไม่ค่อยออกจากห้องเลยยกเว้นจำเป็นจริงๆ
เธอใช้เวลานี้วิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมือนความต่างระหว่างการแพทย์ของยุคนี้กับที่เธอเคยเรียนมา หรือถ้าไม่ทำอะไรทั้งนั้น นอนเล่นก็ไม่เลว เพราะพอผลักบานหน้าต่างในห้องเปิดออก มองไปข้างนอกจะเห็นทัศนียภาพริมฝั่งน้ำที่สวยงามตระการตา ดังนั้นถึงเก็บตัวอยู่ในห้อง ซูเสวี่ยจื้อก็ไม่ได้รู้สึกว่าวันเวลาน่าเบื่อถึงขั้นยากจะทานทนสักเท่าไร
ญาติผู้พี่ของเธอเล่นไพ่บริดจ์เป็นเพื่อนคุณชายหวัง และดูเหมือนจะเป็นที่ต้อนรับของคนอื่นๆ มากพอดู ตอนป้าหวังคอยเติมน้ำชาอยู่ข้างโต๊ะเล่นไพ่บริดจ์ ฟังเยี่ยเสียนฉีเล่าว่าเขาเรียนแพทย์ทั้งด้านอายุรศาสตร์และศัลยศาสตร์ควบคู่กัน ไม่เพียงรอบรู้การรักษาโรคต่างๆ ด้วยยา ยังช่ำชองด้านศัลยกรรม อย่างเรื่องการผ่าตัดเปิดท้องนั้นทำได้สบายๆ ป้าหวังจุปากด้วยความทึ่งเหลือหลาย ทั้งยังให้ความเอ็นดูมาถึงญาติผู้น้องที่ร่างกายอ่อนแอ เวลาทำอาหารมื้อดึกก็ไม่ลืมทำเผื่อเธอด้วย
เพราะได้พึ่งใบบุญของญาติผู้พี่ที่หัวดีเรียนเก่ง ถึงซูเสวี่ยจื้อไม่ออกไปข้างนอกก็ยังได้กินอาหารมื้อดึกรสอร่อยเป็นพิเศษ
ผ่านไปอย่างนี้หลายวัน คืนนี้เธอขึ้นเตียงพักผ่อนแต่หัวค่ำ ป้าหวังคนนั้นมาเคาะประตู เธอไม่ได้ยกอาหารมื้อดึกมาให้ แต่บอกว่าคุณชายหวังให้เธอไปที่ห้องเล่นไพ่บริดจ์
ความคิดแรกในหัวของซูเสวี่ยจื้อคือญาติผู้พี่ไปล่วงเกินอีกฝ่ายตรงไหนโดยไม่ทันระวังหรือเปล่า ส่งผลให้กระวนกระวายใจเล็กน้อย เธอจัดการธุระส่วนตัวครู่หนึ่งแล้วแต่งตัวตรงไปที่นั่นอย่างรีบร้อน
พอไปถึงแล้วจึงรู้ว่าตนคิดมากไปเอง
คุณชายหวังคนนี้ชอบเล่นไพ่บริดจ์มาก ตอนพักอยู่ในชนบทก่อนหน้านี้ก็สอนคนรอบตัวเล่นไพ่บริดจ์เป็นการฆ่าเวลา ในบรรดาคนร่วมเดินทางมาครั้งนี้ ผู้คุ้มกันสองคนของเขาก็คือขาไพ่ตอนอยู่ชนบท ตอนแรกขาดคนหนึ่งจึงตั้งวงไม่ได้ สองวันก่อนมีเยี่ยเสียนฉีอีกคนเลยครบขาพอดี ใครจะรู้ว่าคืนนี้ผู้คุ้มกันคนหนึ่งจะถูกเป้าจื่อเรียกไปอยู่ข้างล่างเป็นการเสริมกำลังคน ทางนี้จึงขาดไปขาหนึ่งอีกแล้ว
คุณชายหวังไม่เห็นด้วยอย่างมากที่เป้าจื่อจัดการแบบนี้ แต่จะเรียกตัวคนกลับมาก็ไม่ดีเพราะเกรงใจ ‘พี่สี่’ ส่วน ‘พี่สี่’ คนนั้นก็ไม่ยอมมาเล่นไพ่ด้วย คุณชายหวังคันไม้คันมืออยากเล่นไพ่เลยคิดถึงญาติผู้น้องของเยี่ยเสียนฉี บอกให้เรียกตัวมาให้เยี่ยเสียนฉีสอนเล่น พอเล่นเป็นแล้วก็ให้เล่นแทนเลย
เยี่ยเสียนฉีลำบากใจ เพราะแต่ก่อนญาติผู้น้องไม่เคยรู้จักของพวกนี้ กลัวจะสอนให้เธอเล่นเป็นในเวลาสั้นๆ ไม่ได้ เมื่อครู่เขาพูดบ่ายเบี่ยงจนคุณชายหวังทำหน้าบึ้งตึงคล้ายจะไม่พอใจแล้ว
อาศัยใต้ชายคาคนอื่นจะไม่ก้มหัวให้ก็ไม่ได้
เขาดึงตัวซูเสวี่ยจื้อไปด้านข้างแล้วเล่าสถานการณ์ให้ฟัง ยังเล่าไม่ทันจบ คุณชายหวังก็เอานิ้วเคาะพื้นโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “มัวคุยซุบซิบอะไรกันอยู่ คนก็มาถึงแล้วยังไม่รีบสอนอีก ตอนนั้นผมหัดแค่ครึ่งชั่วโมงก็นั่งลงร่วมวงแล้ว” เขาพูดจบก็บอกให้ผู้คุ้มกันที่เหลืออยู่อีกคนไปเล่นสนุกเกอร์ที่อยู่ด้านข้างกับตน
เยี่ยเสียนฉีจนปัญญาได้แต่ขอร้องให้ญาติผู้น้องหัดเล่นเร็วๆ พอเข้าใจกติกาแล้วร่วมวงเล่นรับหน้าไปก่อน รอไว้ผู้คุ้มกันคนนั้นกลับมาก็ไม่ต้องให้เธอเล่นแล้ว
“ฉันผิดเอง ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่ขึ้นมาพักชั้นบนแล้ว” เขาแอบพูดเบาๆ ลับหลังคุณชายหวังด้วยสีหน้าขัดเคืองใจอยู่สักหน่อย
ซูเสวี่ยจื้อเห็นแล้วแจ่มแจ้งโดยสิ้นเชิง
คุณชายหวังคนนี้ไม่ได้ ‘อัธยาศัยดี’ อย่างที่เยี่ยเสียนฉีบอกไว้ก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
นิสัยแท้จริงของเขาเป็นพวกหยิ่งยโสไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาสักนิด ส่วนพวกเธอเป็นแค่เพื่อนเล่นประเภทที่อยากให้มาก็มาอยากให้ไปก็ไป
แต่เธอไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเหมือนโดนหยามศักดิ์ศรีอย่างรุนแรงอะไรทำนองนั้น
มันเป็นเรื่องยากมากที่คนธรรมดาๆ จะอยู่โดดเดี่ยวตัดขาดจากสังคม ไม่ว่าจะมีมุมมองความคิดหรือศีลธรรมอยู่ในระดับไหนก็ตาม
ยุคสมัยขณะนี้เพิ่งก้าวพ้นจากระบอบกษัตริย์ที่พบหน้าทักทายด้วยการคุกเข่าโขกหัวกันอยู่เลย แล้วจะเอาอะไรไปพูดเรื่องความเท่าเทียมให้เกียรติซึ่งกันและกันเล่า
ไม่มีความสามารถก็อย่าหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและให้เกียรติ
เหนือสิ่งอื่นใด อย่าว่าแต่ยุคนี้เลย ต่อให้เป็นอีกร้อยปีให้หลัง เรื่องการแบ่งชนชั้นวรรณะก็คงอยู่ในสภาพไม่ต่างกันนัก แค่ว่าไม่ได้แสดงออกอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งขนาดนี้ หากแต่เปลี่ยนไปใช้วิธีการที่แนบเนียนมิดชิดมากกว่าเท่านั้นเอง
ตราบเท่าที่ไม่ล้ำเส้น เธอไม่จำเป็นต้องถือเป็นเรื่องเป็นราวเกินไป
คุณชายหวังอาจจะฝืนใจคนอื่นไปบ้าง แต่เรื่องนี้ไม่นับว่าเกินกว่าเหตุ อีกทั้งสำหรับเธอแล้วก็ง่ายดายเหลือเกิน
เยี่ยเสียนฉีไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเล่นเป็น ไม่เพียงเล่นเป็น ยังมีฝีมือพอตัวอีกด้วย
ในชีวิตก่อนสมัยอยู่มหาวิทยาลัย เธอเคยเข้าร่วมชมรมแค่ชมรมเดียวนั่นคือชมรมไพ่บริดจ์และหมากกระดาน
จุดที่ยุ่งยากที่สุดคงเป็นไพ่บริดจ์ยุคนี้น่าจะเป็นการเล่นแบบ Auction Bridge ซึ่งแตกต่างเล็กน้อยกับ Contract Bridge ที่เธอคุ้นเคย
แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก
เธอมองเยี่ยเสียนฉีที่ทำสีหน้าเป็นกังวลพลางพยักหน้า “ไม่เป็นไร พี่สอนผมตอนนี้ก็ได้”
พอญาติผู้น้องรับปาก เขารู้สึกโล่งอกที่เธอพูดง่ายกว่าเมื่อก่อนมากและกุลีกุจอดึงเธอนั่งลงข้างโต๊ะ ใช้เวลาสิบนาทีอธิบายให้เธอฟังจบแล้วพูดว่า “ไม่เข้าใจตรงไหน ค่อยถามฉันอีกที”
ซูเสวี่ยจื้อบอก “น่าจะเป็นแล้ว”
เยี่ยเสียนฉีประหลาดใจ ด้านคุณชายหวังที่ก้มตัวแทงลูกสนุกเกอร์อยู่ด้านข้างหยุดมือแล้วเบือนหน้ามามองเธอทางหางตา
“แน่ใจนะ” เยี่ยเสียนฉียังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
เธอพยักหน้าตอบ “เข้าใจกติกาพื้นฐานแล้ว ลองดูได้ ส่วนที่ซับซ้อนหน่อยไว้ค่อยๆ เรียนรู้อีกทีตอนเล่น”
คุณชายหวังล้วงนาฬิกาพกออกมาดูเวลา ก่อนวางไม้คิวลงแล้วเดินเข้ามาพูดว่า “ใช้ได้นี่ น้องชายคุณเป็นเร็วขนาดนี้คงเป็นเด็กฉลาดมีพรสวรรค์สินะ อย่างนั้นก็เริ่มกันเลยเถอะ วางใจ พวกเราจะลงเงินน้อยหน่อย”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแฝงหยอกเย้า จากนั้นหันไปเรียกผู้คุ้มกันมาแล้วทั้งสี่คนก็นั่งลง
ซูเสวี่ยจื้อย่อมจับคู่กับเยี่ยเสียนฉี ทั้งสองคนนั่งฝั่งตรงข้ามกันทางทิศตะวันออกกับตะวันตกของโต๊ะ ขณะที่คุณชายหวังกับผู้คุ้มกันของเขานั่งทางทิศเหนือกับทิศใต้
หลังจากเกมไพ่เริ่มต้นขึ้น ตอนแรกเยี่ยเสียนฉียังวิตกอยู่บ้าง เขาไม่ได้กลัวเสียเงิน แต่เป็นห่วงว่าญาติผู้น้องจะจำกติกาซับซ้อนของไพ่บริดจ์ไม่ได้แล้วเล่นผิดๆ ถูกๆ จนทำให้คุณชายหวังไม่พอใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะเล่นไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่แค่ไม่พลาด ทว่ายังจำไพ่ได้ไม่ผิดสักใบและเล่นได้เข้าขากับเขา ประกอบกับเขามือขึ้นอีกด้วย เป็นคนลีดไพ่ แล้วกินรวบได้ทั้งสิบสามกอง และเป็นคนแรกที่ทำแต้มแบบแกรนด์สแลม ได้ในรอบหลายวันนี้ด้วย
ตอนจบเกมแล้วได้เงินมา ชายหนุ่มไม่ค่อยอยากจะเชื่ออยู่สักหน่อย เขาหัวเราะร่วนอย่างกลั้นไม่อยู่จริงๆ แต่ขณะหัวเราะไปก็เหลือบเห็นคุณชายหวังชักทำสีหน้าไม่ดี จ้องญาติผู้น้องของตนเองเขม็งโดยไม่พูดจา เขาจึงหยุดกึก
ด้านผู้คุ้มกันที่นั่งอยู่ด้วยกันเบิกตากว้างแทบถลนออกมา
เมื่อแรกตอนพวกเขาโดนคุณชายหวังบังคับให้หัดเล่นไพ่นี้ ทึ้งผมหลุดไปกี่เส้นก็ไม่รู้ถึงพอเล่นเป็นแบบถูๆ ไถๆ และเรียนรู้เคล็ดลับได้ทีละน้อย
เจ้าหนุ่มหน้าอ่อนคนนี้เล่นเป็นเร็วขนาดนี้เชียวเหรอนี่
ซูเสวี่ยจื้อเหลือบตาขึ้นส่งยิ้มให้คุณชายหวัง “เมื่อครู่นี้ลืมบอกไปว่าจริงๆ แล้วเมื่อก่อนผมเคยหัดเล่นอยู่หลายวันตอนอยู่วิทยาลัยครับ”
ด้วยเหตุนี้คุณชายหวังถึงมีสีหน้าดีขึ้น เขาเบะปากเอ่ย “เอาใหม่อีกตา!”
คืนนี้พวกเขาเล่นไพ่กันจนดึกดื่น จนคุณชายหวังอ้าปากหาวพยักหน้าให้วงไพ่แยกย้ายได้ หลังจากเล่นไพ่กันอย่างนี้ติดๆ หลายวัน ซูเสวี่ยจื้อก็เจอกับปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งนับตั้งแต่มาที่นี่
ระดูของเธอมาแล้ว เธอรู้สึกปวดบั้นเอวและปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อยเป็นระลอก
แต่แค่นี้ยังพอทนได้ จุดสำคัญคือเธอเป็นห่วงว่าของที่หงเหลียนเตรียมให้เธอสำหรับการนี้จะรั่วซึม ดังนั้นวันนั้นเลยบอกว่าตนเองไม่สบายและหลบอยู่ในห้องไม่ลุกลงจากเตียง พอหยุดพักไปสองวันถึงสบายเนื้อตัวขึ้นบ้างในที่สุด เย็นวันนี้หญิงสาวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง รู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย บังเอิญว่าน้ำในกาหมดพอดี เธอหยิบกาน้ำเดินออกจากห้อง ตั้งใจจะไปเติมน้ำในห้องครัวเอง ตอนออกมาระเบียงทางเดิน มองผ่านหน้าต่างกระจกเห็นแสงสนธยาอาบไล้พื้นดาดฟ้า ก็เห็นคุณชายหวังกำลังยืนร้องบทพูดอุปรากร
“…ข้านี้ออกจากเมืองเยี่ยนมา อันทิวทัศน์เมืองเหมยหลงแสนลานตา มอบตราลัญจกรหยกแก่พระมารดา ฝากฝังงานราชกิจกับเหล่าเสนา…”
สุ้มเสียงของเขาเป็นท่วงทำนองสูงต่ำพลิกพลิ้ว ญาติผู้พี่ของเธอร้องชมอยู่ด้านข้าง
คุณชายหวังผู้ชื่นชอบการร้องอุปรากรกำลังหาความบันเทิงเริงใจให้ตนเองอีกแล้ว
ซูเสวี่ยจื้อไม่ได้หยุดฝีเท้าและเดินต่อไปทางห้องครัว คุณชายหวังพลันมองเห็นเธอแล้วชะงักกึก “รอเดี๋ยว”
หญิงสาวได้แต่หยุดยืนนิ่ง คุณชายหวังสาวเท้าตรงมาหาแล้วเดินวนรอบหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่จับอยู่ตัวเธอมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด
เธอชักใจคอไม่ดีอย่างช่วยไม่ได้ นึกว่าตนเองถูกเขาจับพิรุธได้จึงรีบก้มหน้าลงพยายามให้คอเสื้อบังลำคอที่ไม่มีลูกกระเดือกไว้ให้มิดชิด ขณะกำลังใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ คุณชายหวังก็ตบมือทีหนึ่ง “ดีเลย ดีจริงๆ! รูปร่างอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ ไม่เล่นเป็นตัวนาง ออกจะน่าเสียดายเกินไปแล้ว”
เขาพูดแล้วถามขึ้นอีก “ร้องเป็นไหม ร้องให้ฟังสักสองท่อนซิ”
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ซูเสวี่ยจื้อระบายลมหายใจเบาๆ
เธอยังไม่ทันอ้าปากพูด เยี่ยเสียนฉีญาติผู้พี่ก็ตัดหน้าพูดปฏิเสธให้เธอ “คุณชายหวัง น้องผมร้องไม่เป็นหรอก เขาไม่ไหวจริงๆ ยิ่งแบบที่คุณพูดถึงนี่ เขาเล่นไม่ได้เลย ถ้าคุณเล่นคนเดียวรู้สึกเบื่อล่ะก็ มา…ผมเอง! คุณจะให้ผมเป็นตัวนางก็เป็นตัวนาง ให้เป็นนางรองก็เป็นนางรอง! ผมจะเล่นเป็นเพื่อนคุณ”
คุณชายหวังเดาะลิ้นทีหนึ่ง “คุณน่ะนะ? ไม่ส่องกระจกบ้างเลย คุณนึกว่าใครๆ ก็ร้องได้หรือ” ว่าแล้วก็หันไปหาซูเสวี่ยจื้ออีก “ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ผมฟังเสียงคุณแล้วไม่เลวเลย กังวานใสนุ่มหู เชื่อมือผม”
ซูเสวี่ยจื้อพูดขึ้น “คุณชายหวัง ขอบคุณครับที่เห็นผมมีแววดีอยากสนับสนุน แต่ผมไม่ไหวจริงๆ ไม่มีหัวทางนี้เลย”
สีหน้าของคุณชายหวังเปลี่ยนไปทันควัน “เฮอะ ท่ามากจริงนะ หยิ่งเอาเรื่องนักนี่ ถือตัวขนาดนี้ก็อย่าขึ้นมาอยู่บนนี้สิ มาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้นเลยไป”
เยี่ยเสียนฉีฟังแล้วหน้าเสียไปเหมือนกัน “ขอบคุณคุณชายหวังมากที่ให้การต้อนรับตลอดสองวันนี้ คงไม่รบกวนแล้ว ผมจะพาน้องผมลงไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” พูดจบเขาก็จับมือซูเสวี่ยจื้อไว้แล้วก้าวขาเดินจูงเธอออกไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวกลับได้ยินเสียงเยาะหยันดังขึ้นด้านหลัง
“พวกแกเห็นที่นี่เป็นบ้านตนเองอย่างนั้นเหรอ ถึงอยากมาก็มา อยากไปก็ไป”
เยี่ยเสียนฉีเบือนหน้าไปเห็นคุณชายหวังเอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงยืนพิงราวรั้ว หรี่ตามองด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
บรรยากาศตึงเครียดในพริบตา
ซูเสวี่ยจื้อรับรู้ได้ว่าญาติผู้พี่กุมมือเธอแน่นขึ้นทุกที กลางฝ่ามือชุ่มเหงื่อเล็กน้อย
เธอดูออกว่าคุณชายหวังรู้สึกอับอายที่โดนหักหน้าก็เลยพาลหาเรื่อง
นี่เข้าตำราที่ว่าขี่หลังเสือแล้วลงยาก
ขณะเธอกำลังลังเลใจ จู่ๆ คุณชายหวังก็หัวร่อออกมาเสียเอง “ล้อกันเล่นน่ะน้องชาย! ไม่ต้องกลัว” ว่าแล้วก็เดินมาหาเธอ พูดพร้อมยิ้มตาหยี “น้องชายมีคุณสมบัติไม่เลวจริงๆ ข้อสำคัญคือยังสมองดีด้วย อย่านึกว่าการร้องอุปรากรไม่ต้องใช้สมองนะ คนโง่จะร้องได้ดีเหรอ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมรับคุณเป็นลูกศิษย์ สอนวิชาให้เต็มที่ วันหน้าผมคอยส่งเสริมคุณเอง รับรองว่าโด่งดังคับฟ้า ไม่น้อยหน้าพวกนักแสดงชื่อดังตอนนี้แน่นอน”
การแสดงอุปรากรอย่างจริงจังต่างจากคุณชายหวังที่ร้องเล่นๆ เป็นงานอดิเรก เพราะมันเป็นหนึ่งในอาชีพชั้นต่ำเก้าประเภท*
ซูเสวี่ยจื้อเห็นหน้าเยี่ยเสียนฉีมีรอยโทสะปรากฏขึ้น คล้ายคิดจะพูดอะไรอีก เธอจึงลุกลนดึงแขนเขาพร้อมส่งสายตาบอกไม่ให้เขาปริปาก และคิดจะรับหน้าพวกคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างคุณชายหวังที่นึกครึ้มใจพูดเองเออเองคนนี้พอให้พ้นตัวไปก่อน ทว่าเป้าจื่อก็เดินเข้ามากะทันหันพอดี
“คุณชายหวัง ท่านสี่มีเรื่องจะพูดกับคุณ รบกวนคุณไปพบท่านด้วยครับ” เขาชี้ไปทางท้ายเรือ
ซูเสวี่ยจื้อทอดสายตาไปถึงมองเห็นคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งทางฟากโน้น เพียงแต่เขานั่งหันหน้าไปทางท้ายเรือเลยหันหลังให้ทางนี้ ประกอบกับเป็นมุมย้อนแสงเล็กน้อย เมื่อครู่เธอถึงไม่ทันสังเกต
ไม่ใช่แค่เธอคนเดียว ดูเหมือนคุณชายหวังก็ไม่รู้ว่าท่านสี่นั่งอยู่ทางนั้นตลอด เขามองไปแล้วอุทาน “เอ๊ะ! ทำไมพี่สี่อยู่ตรงนั้นคนเดียว” ว่าแล้วก็เดินไปหา
ซูเสวี่ยจื้อเห็นเขาไปถึงท้ายเรือแล้วสนทนากับคนผู้นั้นครู่หนึ่ง พอคุยกันจบ อีกฝ่ายตบแขนเขาเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ จากนั้นลุกขึ้นเดินมาทางนี้
เธอจำแผ่นหลังนี้ได้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
‘พี่สี่’ คนนี้คือคนสูบบุหรี่ที่เธอเจอคืนนั้นนั่นเอง
หนนี้ได้เห็นอย่างชัดเจนในที่สุด
ความจริงผู้ชายคนนี้ยังหนุ่มมาก ดูท่าทางอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี เขาไม่ได้แต่งตัวแบบชาวตะวันตกเหมือนคุณชายหวังกับญาติผู้พี่ของเธอ
เขาสวมเสื้อคลุมป้ายข้างสีครามตัวยาวแบบธรรมดา หน้าตาคมเข้มมาก มองจากไกลๆ ตัวเขาก็เหมือนกระบี่สีครามบางเฉียบที่เปล่งประกายเย็นเยียบเล่มหนึ่ง ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม แววตาเฉยชาอย่างยิ่ง อีกฝ่ายเดินเข้ามาถึงเบื้องหน้าสองลูกพี่ลูกน้องอย่างว่องไว
“ทะ…ท่าน…สี่…”
เยี่ยเสียนฉีโดนคนผู้นี้ข่มจนดูหงออยู่สักนิด แม้แต่จะทักทายยังตะกุกตะกัก ไม่เหมือนยามปกติที่พูดคล่องเป็นล่องน้ำ
ท่านสี่เพียงพยักหน้าไม่ได้วางท่าใหญ่โต
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตัวเธอกับญาติผู้พี่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะย่างเท้าหายลับเข้าไปด้านในของเรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.พ. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.